x close

เรื่องเล่าขนหัวลุก ผีในมหาลัย 11 แห่ง กับตำนานเฮี้ยน ๆ


เรื่องผีในมหาวิทยาลัย 11 สถาบัน

เรื่องผีในมหาวิทยาลัย 11 สถาบัน กับตำนานเฮี้ยนสยอง 

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก bangkokcombo

          เรื่องเล่าขนหัวลุก กับเรื่องผีในมหาวิทยาลัย 11 แห่ง ขึ้นชื่อชวนขนหัวลุก จากปากคำศิษย์เก่าศิษย์ใหม่ช่วยเล่าขาน ว่าแต่ตำนานผีในมหาวิทยาลัยไหนหลอนที่สุด ตามไปอ่านกันเลยค่ะ 

          ว่ากันว่าผีและวิญญาณล้วนมีแฝงตัวอยู่ทุกถิ่นที่ และหนึ่งในสถานที่ที่มีการเล่าขานตำนานผี ๆ มากที่สุดแห่งหนึ่งก็คือ "มหาวิทยาลัย" ซึ่งมีหลายมหาวิทยาลัยที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงเรื่องราวลี้ลับชวนขนหัวลุกเล่าต่อกันมา และวันนี้กระปุกดอทคอมขอนำ เรื่องสยองขวัญในมหาวิทยาลัยไทย (อัปเดตใหม่) จาก คุณ SteeL14s สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ซึ่งคุณ SteeL14s ได้ตระเวนสัมภาษณ์จากปากคำบรรดาศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของมหาวิทยาลัยนั้น ๆ มาโดยตรงเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ตำนานไหนเล่าต่อ ๆ กันมาในอินเทอร์เน็ตจนไม่รู้ก๊อบปี้ไปก๊อบปี้มากันกี่ต่อจะไม่ขอพูดถึง จึงรับประกันเรื่องราวจากบรรทัดนี้ไปคือความสยองขวัญที่เหล่าคนมีเซ้นส์ต่างช่วยเข้ามาคอนเฟิร์มแล้วว่า "ของเขาแรงจริง ๆ"

          อย่างไรก็ดี คุณ SteeL14s ได้ขออภัยไว้ล่วงหน้า หากว่าเรื่องราวหรือการกระทำใด ๆ ในคลิปวิดีโอชุดมหาวิทยาลัยสยองขวัญนี้ อาจทำให้ผู้ที่รักและผูกพันกับมหาวิทยาลัยไม่พอใจ ซึ่งที่คุณ SteeL14s เขียนเรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงแต่อย่างไรทั้งสิ้น ถ้าคุณพร้อมแล้ว ก็เชิญไปรับฟังเรื่องเล่าสยองขวัญในรั้วมหาวิทยาลัยกันเลย

1. มหาวิทยาลัยรังสิต

          มหาวิทยาลัยรังสิต นับเป็นมหาวิทยาลัยที่เรียกได้ว่ามีผีเยอะที่สุดในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็ว่าได้ จากข้อมูลที่ผู้มีสัมผัสทางวิญญาณท่านหนึ่งได้เคยอธิบายเอาไว้ บริเวณเมืองเอก (ชื่อสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยรังสิต) มีลักษณะพื้นที่เป็นแอ่งกระทะ นัยว่าไม่ดีตามหลักฮวงจุ้ย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยบ้านถูกปล่อยทิ้งร้างไร้ผู้ดูแล (เช่น บ้านร้าง 9 หลัง และบ้านร้างบันไดแดงสุดโด่งดังของคนชอบลองของทั้งหลาย) ซึ่งผู้มีสัมผัสทางวิญญาณท่านนี้ก็ได้เล่าว่าบ้านร้างเหล่านี้เอง ที่จะเรียกพวกภูติ ผี สัมภเวสีเร่ร่อนมาอยู่อาศัย กลับมาเรื่องสยองของมหาวิทยาลัยรังสิตกันต่อ บอกได้เลย ว่าเยอะกว่าที่ไหน ๆ
 
          - ลิฟต์ตึก 3  

          ตึก 3 นับได้ว่าเป็นตึกที่เก่าที่สุดเป็นอันดับ 2 ของมหาวิทยาลัย ลิฟต์ที่ตึกตอนกลางวันจะใช้งานได้ปกติธรรมดา แต่ตกกลางคืน ลิฟต์จะเปิดเองเป็นประจำ (ถ้าจะบอกว่าลิฟต์มันเสีย ทำไมมาเจาะจงเสียเฉพาะตอนกลางคืนล่ะ ?) หากเรากดชั้นไหน มันจะไม่ค่อยยอมไปตามชั้นที่เรากด เช่น กดชั้น 6 ลิฟต์ดันจอดชั้น 5 (ซึ่งชั้น 5 เป็นชั้นของนิติศาสตร์ เคยมีคนเห็นผู้หญิงชุดขาวในกระจกข้างลิฟต์เป็นประจำ ทั้ง ๆ ที่ข้างลิฟต์ชั้นนั้นมันไม่มีกระจก !! ตัวเราก็เคยประสบกับตัวเช่นกัน ยืนรอเพื่อนอยู่ชั้น 5 ตรงริมทางเดิน สักพักก็ได้ยินเสียงคนเดินอยู่ที่ริมทางเดินของอีกฝั่ง พยายามไม่คิดอะไรบอกตัวเองว่าคงหูฝาด แต่เสียงเดินที่ว่ามันดันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทีนี้เลยไม่รอแล้วเพื่อน ขอลงก่อนโดยฉับพลัน)

          - ตึก 3 ห้อง 508 

          พี่ยามที่ตึกแกเล่าให้ฟังว่า วันดีคืนดี จะเห็นเครื่องเซ่นวางอยู่ในห้อง ไม่รู้ว่าใครเอามาวางไว้ และพอเช้า เครื่องเซ่นที่ว่าจะหายไปดื้อ ๆ โดยไร้สาเหตุ



          - ห้องน้ำหญิง ตึก 5 (วิศวะ) 

          เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นแค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เมื่อนักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ถูกแฟนหนุ่มใหญ่ลากออกมาจากห้องสอบ (สาเหตุคงเรื่องหึงหวง) ฝ่ายชายลากฝ่ายหญิงเข้าไปเคลียร์กันในห้องน้ำ มีเสียงทะเลาะโวยวายกันได้สักพัก ฝ่ายชายก็เอาปืนยิงฝ่ายหญิงก่อนที่จะยิงตัวเองตายตาม ช่วงเกิดเรื่องใหม่ ๆ นี่บอกเลยว่าหลอนโคตร มีคนได้ยินเสียงทะเลาะกันตามด้วยเสียงปืนเวลาเดิม ๆ แทบทุกวัน (เค้าว่าคนที่ฆ่าตัวตายจะต้องติดอยู่ในลูป ทำเหตุการณ์ซ้ำตอนที่ตายเหมือนเดิมไปเรื่อย ๆ) ห้องน้ำห้องที่ว่าปกติก็น่ากลัวอยู่แล้ว ตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่ง พอเกิดเรื่องก็มีสายสิญจน์มาพันรอบ ๆ อีก บอกเลยว่าเดือด


          - ลานจอดรถตึก 10

          เป็นเหตุการณ์ที่เกิดกับนักศึกษาคณะภาพยนตร์กลุ่มหนึ่งที่กำลังถ่ายหนังผีกันอยู่ ขณะถ่ายทำน้องคนที่เป็นผู้กำกับเห็นทีมงานตัวเองคนหนึ่งยืนขวางอยู่ในเฟรม ก็เลยตะโกนบอกให้หลบ ไอ้คนที่ยืนขวางก็มึนยืนเฉยไม่สนอะไร ตาผู้กำกับคนนี้ก็เลยโมโหลุกเดินไปด่าไปเตรียมเอาเรื่องเต็มที่ แต่พอเดินไปถึง คนคนนั้นที่ยืนขวางก็หันมายิ้มแล้วกระโดดตึกร่วงลงหายไปเลย (ตั้งใจจะถ่ายหนังผีดันเจอผีจริง ๆ กลายเป็นตำนานไปพักนึงเลยทีเดียว)

2. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว)

          - ตึกวิทยาศาสตร์เก่า 

          เค้าว่าตึกนี้เฮี้ยนทั้งตึก ไล่ตั้งแต่หน้าตึกเลย จะมีชุดครุยใส่ตู้กระจกอยู่ คำนวณจากภายนอกเก่าพอสมควร เห็นว่าเป็นชุดของนักศึกษาคนหนึ่งที่เกิดเสียชีวิตในวันรับปริญญา เลยนำชุดของเธอมาตั้งไว้หน้าตึกให้วิญญาณสงบ



          ขึ้นมาข้างบนชั้น 13 เคยมีอาจารย์หัวใจวายตายที่ชั้นนั้น ดึก ๆ อยากรู้มีจริงไหมให้ลองไปเดินแล้วพูด "อาจารย์ เอายาแก้โรคหัวใจมาให้" จุดที่หนักสุดหลาย ๆ คนยกให้ห้องน้ำชั้น 5 ถ้าเข้าคนเดียวจะได้ยินเสียงเคาะประตู บางคนใครดวงดีจริง ๆ ถึงขั้นได้ยินเสียงร้องไห้



          - สนามบาส

          เคยมีเดือนมหาวิทยาลัยคนหนึ่งได้เสียชีวิต เดือนคนนี้เป็นนักบาสด้วย ช่วงที่เค้าตายใหม่ ๆ มีคนเล่าว่าเห็นเดือนคนนี้เล่นบาสอยู่ในสนาม เห็นว่าถ้าอยากเจอให้มาเล่นบาสคนเดียวดึก ๆ แล้วจะได้ยินเสียงเดาะบาสเพิ่มขึ้นมาโดยที่ไม่ใช่เสียงจากลูกบาสของเรา

          - ป้ายแม่ตะเคียน 

          นี่คือเรื่องที่พีคที่สุดของมหาวิทยาลัยนี้เลยก็ว่าได้ จะมีต้นไม้ใหญ่อยู่แถว ๆ ตึกวิทย์ฯ เก่า ที่ต้นไม้นั้นจะมีป้ายไม้เล็ก ๆ อยู่ป้ายหนึ่ง (สังเกตไม่ยาก เพราะของไหว้เพียบ) เล่าว่าป้ายนี้ทำมาจากไม้ตะเคียนและมีนางตะเคียนสถิตอยู่ข้างใน เคยมีนักศึกษากลุ่มหนึ่งไปถ่ายรายการแล้วจุดธูป 1 ดอก หนึ่งในนั้นถึงกับร้องไห้แตกขึ้นมากลางวง เธอเล่าให้ฟังทีหลังว่าระหว่างที่จุดธูปไหว้อยู่ เธอเห็นผู้หญิงแต่งตัวแบบโบราณ หน้าขาว ปากแดงอยู่ใต้ป้ายไม้ดังกล่าว แล้วหญิงโบราณคนนี้ก็ลอยพุ่งเข้ามาอยู่ตรงหน้าเธอ จากนั้นเธอก็อึดอัด หายใจไม่ออก จนต้องร้องไห้ออกมา

 
3. มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
 
          ตัวผมเองไปลองของมานี่แทบจะพูดได้ว่าเกือบทุกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ แล้วครับ ด้วยความเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ที่นั่นที่นี่เค้าว่าเฮี้ยน เค้าว่าเดือด ไปลองทำตามมาทุกอย่าง ไม่เคยเจออะไร จะมีก็ที่สวนสุนันทานี่ล่ะครับ ที่รู้สึกว่าใกล้เคียงกับการโดนผีหลอกมากที่สุด โหดไม่โหด ก็น้องคนหนึ่งของผมที่เรียนที่นั่นมันบอกผมว่า "เป็นลูกพระนางต้องทำใจพี่ กลัวผีไหม ก็กลัว แต่มันเคยชิน มันอยู่กับอย่างนี้มาตลอด"

          ประวัติคร่าว ๆ ของที่นี่ พอได้ฟังก็ไม่น่าแปลกใจที่เฮี้ยนครับ ที่นี่ก่อนจะมาเป็นมหาวิทยาลัย เดิมเคยเป็นวังเก่าของ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งเป็นพระอัครมเหสีพระองค์แรกของรัชกาลที่ 5 เด็กนักศึกษาที่นี่ส่วนมากจะเรียกตัวเองว่า "ลูกพระนาง" ครับ คำว่าพระนางในที่นี้ ก็หมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี นั่นเอง เริ่มที่เรื่องแรกกันเลย...

          - ใต้ดินตึกศิลปกรรม

          ว่ากันว่าที่ชั้น G ตึกศิลปกรรม หรือก็คือชั้นใต้ดินนั่นเอง ในสมัยยังเป็นวังนั้นที่ตรงนี้เป็นคุกเก่า (ตอนที่ผมไปบอกเลยว่าน่ากลัวมาก ช่วงตีนบันไดก็ยังพอมีไฟฟ้าอยู่บ้าง แต่พอเดินไปลึก ๆ นี่มืดตื๋อเลย ตามสองข้างทางก็จะเป็นห้องเรียน ลองมองส่องเข้าไปห้องนึง ป๊ะเข้ากับหุ่นเขียนแบบ หัวใจเกือบวาย) ดึก ๆ เห็นว่ายามจะได้ยินเสียงโซ่ตลอด (น่าจะเป็นโซ่ตรวนที่ล่ามขานักโทษ) เด็กจิตรกรรมคนหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า เคยอยู่ดึก ๆ เขียนงานไปดูดบุหรี่ไป ยังเคยเจอแม่ (พระนางสุนันทา) มาเตือนให้เลิกดูดบุหรี่ จนสุดท้ายทุกวันนี้ไม่มียามกล้าอยู่เฝ้าชั้นใต้ดินตอนดึก ๆ เลยแม้แต่คนเดียว




         
 - ห้องแกรนด์เปียโน 

          เรื่องเกิดจากเด็กนาฏศิลป์กลุ่มหนึ่งได้ขึ้นมาทำกิจกรรมในห้องแกรนด์เปียโน แล้วเหมือนว่าไม่ได้มีการบอกกล่าวหรือไหว้ขอนุญาตใด ๆ ในห้องนี้ก่อน (มหาวิทยาลัยนี้ ทุกห้องทุกตึกจะมีบรมครูอยู่ทุก ๆ ที่) นักศึกษาหญิงคนนึงในกลุ่มที่เป็นคนมีเซ้นส์อยู่ดี ๆ ก็เกิดชัก อารมณ์ประมาณว่าของเข้า ขณะที่ทุกคนกำลังพยายามช่วยเพื่อนที่โดนของเข้าอยู่นั้นเอง ก็มีนักศึกษาหญิงอีกคนเห็นเงาผู้ชายแก่ ๆ ยืนอยู่ข้าง ๆ เปียโนในห้อง

          - พี่จุก  

          ที่ห้องดนตรีไทยของมหาวิทยาลัย อะไรก็ตามที่เป็นไทย ๆ จะถูกรวบรวมนำมาเก็บไว้ในห้องนี้ โดยของบางอย่างในห้อง ว่ากันว่าเก่าแก่ขนาดตกทอดมาตั้งแต่สมัยยังเป็นตำหนักเลยทีเดียว ในห้องจะมีกุมารทองอยู่ 2 ตน สีแดงกับสีชมพู สีแดงคือพี่จุก สีชมพูคือเพื่อนเค้า ครั้งหนึ่งระหว่างการรับน้องของคณะ เด็กปี 1 คนหนึ่งเกิดกรี๊ดสนั่นขึ้นมา ก่อนจะตะโกนว่า "กูจะเอาไปด้วย กูจะเอาไปด้วย" มารู้ตอนหลังว่าเป็นพี่จุกที่ไปเข้าสิง เค้าโกรธที่ย้ายห้องดนตรีขึ้นมาบนตึกแล้วไม่เอาเค้าขึ้นไปด้วย เค้าเหงา

          - ครูฮอน 

          ชั้น 4 ตึกศิลปกรรม เป็นชั้นของศิลปะการแสดง ประกอบไปด้วยนาฏศิลป์ไทยกับการละครไทย ครูฮอนเป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยนี้ เอกนาฏศิลป์ ด้วยความที่รักและผูกพัน ครูฮอนจึงได้กลับมาเป็นอาจารย์สอนที่นี่ ครูฮอนเสียชีวิตไปด้วยโรคปอดติดเชื้อ เรื่องเล่าต่อมา เมื่อประมาณราว ๆ 4 ทุ่ม พี่ยามสองคนก็ได้ขึ้นลิฟต์มาชั้น 4 เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยและไล่เด็กกลับบ้าน มาถึงชั้น 4 ลิฟต์ก็เปิดออก (ปิดไฟมืด เป็นทางเดินยาว ๆ) พี่ยามทั้งสองก็เห็นเป็นเงาคนยืนอยู่ที่สุดฝั่งทางเดินอีกฝั่ง พี่ยามก็ตะโกนบอก "ทำไมยังไม่กลับบ้าน ตึกปิดแล้วครับ"

          คนที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็ไม่ตอบอะไร ยามทั้งสองคนก็เริ่มโมโห เดินเข้าไปหา พอใกล้จะถึงก็ส่องไฟฉายเข้าใส่ พบเป็นผู้ชายยืนอยู่ ยืนแบบปกติเลย ไม่มีเลือดไม่มีอะไร แต่ผู้ชายคนนั้นไม่มีท่อนล่าง ตั้งแต่เอวลงไปไม่มีอะไรเลย แล้วสักพัก ผู้ชายคนนั้นก็รำ ... คาดกันว่า ผู้ชายคนนั้น น่าจะเป็นครูฮอนนั่นเอง



          - เนินพระนาง (ใหม่) 

          เป็นเรื่องเล่าของชมรมเชียร์ลีดเดอร์ครับ น้องเค้าเล่าให้ฟังว่ามีตอนใกล้แข่งที่ต้องอยู่ซ้อมกันดึก ๆ ฝ่ายเต้นก็จะหันหน้าเข้าหาเนินพระนาง หันหลังให้ตึก ระหว่างที่เต้น ๆ อยู่ น้องอีกกลุ่มที่นั่งดูเพื่อนเต้น ก็เห็นที่ตึกฝั่งตรงข้ามมีเงาคนมายืนดูอยู่เต็ม บ้างก็ยืน บ้างก็นั่งห้อยขา

          - เนินพระนาง (เก่า)

          เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมโดนมากับตัวเลยครับ น่าจะเป็นประสบการณ์เฉียดผีที่สุดแล้ว คือผมเนี่ยต่อให้เห็นผีมาปรากฏแลบลิ้นปลิ้นตาต่อหน้าจริง ๆ ยังไม่แน่ใจว่าจะเชื่อว่าโดนผีหลอกเลยครับ เผลอ ๆ ตื่นเช้ามาจะบอกตัวเองด้วยซ้ำว่าแค่ตาฝาด คิดไปเอง (จิตปรุงแต่ง) แต่เรื่องที่ผมไปโดนมาที่สวนสุนันทานั้น บอกได้เลยว่าใกล้เคียงกับคำว่าปาฏิหาริย์เลยล่ะ

          ตอนแรกเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เพื่อนผมโดนมาก่อนครับ น้องมายด์ สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก เธอเรียนนิเทศฯ อยู่ที่มหาวิทยาลัยนี้ ครั้งหนึ่งตอนรับน้องก็ได้ซื้อธูปมา กะจะไปไหว้พระนางกัน ระหว่างเดินในช่องทางเดิน (เนินพระนางเก่าจะอยู่หลังตึกนิเทศฯ ช่องทางเดินที่ว่าจะลอดผ่านตึกนิเทศฯ ไปยังเนินพระนาง เด็กนิเทศฯ จะเรียกหลืบนิเทศฯ) เพื่อนมายด์เค้าก็จุดธูปขึ้นมาลอง 1 ดอก มายด์เป็นคนเหม็นธูปก็เลยโวยวาย ก่อนจะดึงธูปในมือเพื่อนมาปักลงดินที่หน้าเนินพระนาง มายด์เล่าให้ฟังว่าทันทีที่ปักธูปลมพัดแรงมาก พัดแรงปานพายุย่อม ๆ จนเพื่อน ๆ ต้องรีบขอขมาแม่กันยกใหญ่

          ผมมีโอกาสได้ไปลองทำเลียนแบบเรื่องนี้มาครับ เวลาประมาณ 4 ทุ่ม เกือบ ๆ 5 ทุ่ม จะเจอผีก็ประมาณนี้แหละกำลังดี ยืนหน้าเนินพระนาง จุดธูปขึ้นมา 1 ดอก (จุดธูป 1 ดอก ตำราว่าคือการเรียกผี) ก่อนจะปักก็เช็กสภาพลมรอบตัวอย่างดีครับ สงบนิ่งเลย ไม่หือไม่อือใด ๆ ทั้งสิ้น แต่พอปักดินเข้าเท่านั้นล่ะครับ อย่างกับพล็อตหนังสยองขวัญ ลมพัดมาทันที แล้วไม่ใช่แบบค่อย ๆ พัดด้วย มาแบบกระโชกโฮกฮากเลย บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าผมไม่เชื่อเรื่องผีครับ มาเป็นตัวก็ไม่เชื่อ แต่กรณีนี้ยังไงก็ไม่มีทางคิดไปเองได้แน่ ๆ ครับ นี่เข้าข่ายวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้แบบจะแจ้ง ถึงตรงนี้ทำอะไรไม่ถูกครับ โทร. ถามเพื่อนเลย เพื่อนผมบอกอย่าดับธูปเด็ดขาด ถ้าดับธูปเหมือนเรียกเค้ามาแล้วไล่เค้ากลับแบบหมูแบบหมา ต้องลาเค้าดี ๆ ก่อน ผมก็ซื้อน้ำแดงซื้อดอกไม้มาขอขมาตามสเต็ป ก่อนรอให้ธูปดับไปเองตามธรรมชาติของมันครับ

          ที่เล่ามานี่ไม่ใช่ให้ไปลองของที่เนินพระนางกันนะครับ คือที่มหาวิทยาลัยนี้นี่เค้านับถือแม่กันมาก ไปลองสุ่มสี่สุมห้าอาจจะไม่ได้เจอแค่ผี อาจจะโดนตีนเด็กนักศึกษาที่นั่นเอาได้ 55555 พระนางศักดิ์สิทธิ์มากครับ เด็กที่นี่คนไหนมีคิวจะทำกิจกรรมอะไรเค้าจะมาไหว้แม่ตั้งแต่ตีห้า น้องคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังตอนที่ไปลองปักธูป น้องเค้าบอกเดินมาตอนตีห้ากะมาไหว้แม่ มองขึ้นไปบนเนินเห็นนางรำ รำอยู่ห้าคน ผมก็ถาม เฮ้ย ! เห็นแล้วทำไงต่อ น้องมันบอกก็ยืนดูจนเค้ารำเสร็จ แล้วเค้าก็ค่อย ๆ จางหายไป (แหม่... เป็นกูนี่วิ่งตั้งแต่เห็นละ)


          ข้อสุดท้ายละ ในสวนสุนันทามีหลุมหลบภัยด้วยนะครับ คาดว่าน่าจะสร้างไว้รับมือตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง สุดท้ายก็ขอทิ้งไว้ด้วยประโยคของรุ่นพี่ผมคนหนึ่ง ที่เรียนจบจากที่มหาวิทยาลัยนี้ แกพูดเป็นปรัชญาไว้ตอนแกเมาว่า "คำว่า หลุมหลบภัย คำว่าสงคราม...  มันก็ใกล้เคียงกับคำว่าความตาย"

 
4. มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
 
          ผีที่มหาวิทยาลัยนี้ส่วนใหญ่จะไปสุมหัวอยู่ตามลิฟต์ตึกต่าง ๆ ครับ มีตึกไหนบ้างไปดูกันเลย

          - หน้าตึก 5 

          เห็นแม่บ้านเล่าให้ฟังว่าเคยมีแฟนกันทะเลาะกัน แล้วโดดตึกลงมาฆ่าตัวตาย จากนั้นดึก ๆ แม่บ้านจะเห็นกองเลือดกองอยู่ตรงบริเวณที่เค้าโดดเกือบทุกคืน

          - ลิฟต์แม่บ้าน 

          เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น้องผมโดนมากับตัวครับ เธอเป็นสาวประเภทสองชื่อน้องน้ำ คือที่ตึกนิเทศฯ จะมีลิฟต์ตัวที่แม่บ้านใช้ทำงานอยู่ครับ เป็นลิฟต์ที่สีสันโดดเด่นมาก (สีม่วง-เหลือง) เด็กหลาย ๆ คนก็จะรู้จักกันในนามลิฟต์แม่บ้าน วันนั้นน้องน้ำก็ไปเรียนตามปกติครับ กลางวันแดดเปรี้ยง ๆ เลย ก็ขึ้นลิฟต์แม่บ้านไปพร้อมกดชั้น 5 แต่ลิฟต์ดันไปเปิดที่ชั้น 3 ทั้ง ๆ ที่ลิฟต์ตัวนี้ไม่มีให้ปุ่มกดออกที่ชั้น 3 นะครับ พอเปิดชั้น 3 น้องน้ำก็ได้ยินเสียงผู้ชายพูดว่า "รอด้วย" น้ำชะโงกหน้าออกไปดูก็ไม่เห็นเงาใครแม้แต่คนเดียว (ถึงตรงนี้น้ำชักเริ่มเสียวสันหลังละ)

          ลิฟต์ก็ขึ้นต่อไปยังชั้น 5 ครับ ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ น้ำก็เล่าว่าไม่รู้หลอนเพราะกลัวหรือเปล่า แต่รู้สึกเหมือนมีลมหายใจมารดที่ต้นคอตลอดเวลา ในที่สุดก็ถึงชั้น 5 พอลิฟต์เปิดน้ำก็สาวเท้าออกมาโดยไว จังหวะที่ลิฟต์กำลังจะปิดนั้นเอง ที่น้ำได้ยินเสียงผู้ชายคนเดิมอีกครั้งว่า "ทำไมไม่รอ... ทำไมไม่รอ..."

   

          - โรงพยาบาลเก่า 

          นักศึกษาที่นี่มีหลายคนนะครับ ที่เข้าใจผิดคิดว่าตึก 3 คือโรงพยาบาลเก่า จริง ๆ ไม่ใช่ตึก 3 ครับ เป็นตึก 2 ต่างหาก และที่มีคนสนใจกันเยอะก็เพราะลิฟต์ของตึกนี้นี่ล่ะครับ ซึ่งถ้าเป็นตามเรื่องเล่าที่ว่าตึก 2 คือโรงพยาบาลเก่า ก็แปลว่าลิฟต์ตึกนี้ (ก่อนจะมาเป็นตึกเรียน) ต้องเคยผ่านการขนย้ายคนเจ็บมามากมาย และแน่นอนหลายครั้งต้องมีคนตายรวมอยู่ในจำนวนผู้ป่วยทั้งหลายที่เคยโดยสารลิฟต์ตัวนี้ และจากที่ผมไปลองมา ก็มีความน่าจะเป็นที่เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอยู่มากเลยครับ เพราะลิฟต์ตึก 2 มีขนาดที่กว้างและใหญ่โตมาก กว้างแบบที่ลิฟต์ตามโรงพยาบาลเป็นกัน เพราะต้องมีขนาดกว้างไว้รับรองเตียงผู้ป่วยได้นั่นเอง

          - พี่จุก  

          พี่จุกอีกแล้วนะครับ (คือต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรที่เป็นรูปร่างแบบกุมารเด็กสมัยก่อนที่ไว้ผมจุก คนไทยเราจะเหมาเรียกรวมเหมือนกันว่าพี่จุกหมด) พี่จุกของที่นี่เค้าอยู่ที่ศูนย์วัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยครับ ลักษณะจะเป็นรูปปั้นเด็กไทยไว้ผมจุกโบราณ เล่นตีวงล้ออยู่เห็นได้เด่นชัด (ตีวงล้อจะเป็นประมาณของเล่นเด็กไทยสมัยก่อนครับ เป็นวงล้ออันใหญ่ ๆ แล้วเด็กก็จะเอาไม้ตีให้มันวิ่งไปข้างหน้าเรื่อย ๆ) เล่ากันว่าหากมาเดินคนเดียวดึก ๆ บริเวณนี้ บางทีอาจจะได้เห็นพี่จุกกระโดดลงมาจากแท่นปั้น แล้วมาชวนเราตีวงล้อเล่นกับเค้า (ถ้าเจอเค้าชวนต้องเล่นนะครับ ไม่งั้นงานงอกแน่ ๆ)

          - ตึกลานจอดรถ 

          ที่ตึกลานจอดรถ มีคนเคยเจอผู้ชายยืนลอยอยู่แค่ครึ่งตัว

          - จูงหมาเดินเล่น 

          ภายในมหาวิทยาลัย บางคืนจะมีคนพบเห็นอดีตเจ้าของมหาวิทยาลัยที่ท่านได้เสียไปแล้ว พาสุนัขของท่านมาจูงเดินเล่น อาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกกับนักศึกษาไว้ว่า ถ้าเห็นเข้าก็อย่าไปตกอกตกใจอะไร ท่านเป็นเจ้าของที่นี่ ไม่มีอันตรายใด ๆ เค้าปกป้องคุ้มครองพวกเราอยู่

          - พี่สาว 

          เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โหดสุดของที่นี่แล้วครับ ถึงขนาดเด็กพูดกันว่า "ไม่ต้องรอกลางคืนหรอกพี่ แค่กลางวันก็ไม่กล้าเดินผ่านแล้ว" จุดปะทะของเรื่องนี้จะอยู่ที่ห้องชมรมดนตรีไทยครับ (แต่เห็นว่าทุกวันนี้มีแบ่งพื้นที่ให้ดนตรีสากลด้วย) ลักษณะของห้องชมรมจะเป็นคล้าย ๆ ตึกห้องแถวครับ อยู่ถัดจากสนามบาสมาไม่ไกลนัก บริเวณห้องชมรมจะมีซอกอยู่ซอกหนึ่ง เป็นซอกเล็ก ๆ ที่มีต้นไม้ใหญ่รกครึ้ม (เพราะแบบนี้รึเปล่าไม่รู้ที่ทำให้บรรยากาศในซอกนั้นอึดอัดโคตร) ตำนานเรื่องนี้เล่ากันไว้ว่า บริเวณตรงนั้นจะมีวิญญาณผู้หญิงอยู่คนหนึ่งครับ เด็กที่นั่นจะเรียกผู้หญิงคนนี้ว่าพี่สาว ไม่มีใครทราบประวัติที่มา ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน รู้แต่ว่าเข้าเรียนมาก็มีตำนานเรื่องนี้อยู่แล้ว กฎเหล็กของเรื่องนี้ก็คือ ถ้าอยู่ในซอกที่ว่า ห้ามเล่าถึง เอ่ยถึงใด ๆ เกี่ยวกับพี่สาวเด็ดขาดไม่งั้นจะเจอ

          คืนที่ผมไปลองก็ไปกันประมาณ 4 คนครับ (ขอไปเยอะหน่อย ยอมรับว่าเสียว) บรรยากาศตอนกลางวันว่าอึดอัดแล้ว เทียบไม่ได้เลยกับตอนกลางคืน สองข้างทางระเกะระกะไปด้วยป้ายไม้โฆษณาของชมรมนั้นชมรมนี้ แล้วต้นไม้ใหญ่ก็หลายต้นเหลือเกินทางฝั่งขวา ซอกที่ว่านี้จริง ๆ มันนิดเดียวนะครับ แต่ตอนไปลองนี่รู้สึกว่าไกลมาก ก็เล่าเรื่องของพี่สาวกันในซอกครับ เล่าไปขนลุกไปแต่ก็ไม่มีอะไร จนออกมาตั้งหลักจากบริเวณดังกล่าว เพื่อนผม 2 คนก็มาบอกว่า ได้ยินเสียงขิมจากในห้องชมรม (ขิมคือเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่งครับ)


  


          เรื่องนี้มันยังไม่จบแค่ตรงนี้ครับ (ที่จะเล่าต่อไปนี้จะฟังดูงมงายหน่อยนะครับ ขนาดผมเป็นคนเล่าเองยังรู้สึกนิด ๆ แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นน่ะ ขอเล่าไปตามข้อเท็จจริงละกัน) ยังจำตอนต้นกระทู้ได้ไหมครับ ที่ผมพูดถึงผู้มีสัมผัสทางวิญญาณท่านหนึ่ง คนคนนี้ไม่ใช่ไก่กานะครับ เอาเป็นว่าถ้าบอกชื่อไป ในวงการคนเห็นผีด้วยกันนี่ไม่มีใครไม่รู้จัก ถึงขั้นเค้าเคยบอกว่า เคยมียักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิงมาเชิญไปเป็นผู้เชี่ยวชาญในรายการ แต่เค้ารู้สึกว่าถ้าไปออกทีวี ไปทำอะไรแบบนั้น มันไม่ใช่การช่วยแล้ว (เค้าใช้คำว่าช่วยในการแก้ปัญหาเรื่องผีต่าง ๆ ครับ ไม่ได้ช่วยแค่คนนะครับ เค้าหมายถึงช่วยผีด้วยในบางครั้ง) มาต่อที่เรื่องของผมครับ คือเวลาผ่านไปสักพัก ผมกับเพื่อนไปลองของตามมหาวิทยาลัยนั้นมหาวิทยาลัยนี้มาก็เยอะ ชักอยากรู้ว่า "มีอะไรตามกูกลับมามั่งไหมเนี่ย" ก็เลยไปขอให้พี่เค้าดูให้ครับ ขอข้ามขั้นตอนวิธีการดูไปละกันนะครับ มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟัง

          พี่เค้าก็ทักผมมาครับ ว่ามีเด็กเกาะอยู่ที่ขาขวาตัวนึง พี่เค้าถามผมว่าหลัง ๆ มีอารมณ์อยากกินช็อกโกแลตบ้างไหม ถ้าอยากกินเมื่อไหร่แปลว่าเด็กคนนี้เค้าอยากกินแล้วเค้าดลใจให้เราอยากด้วย กรณีไอ้เด็กนี่ไม่ค่อยเดือดครับ มันเดือดตรงตัวที่เกาะหลังผม พี่คนนี้บอกว่ามีนักศึกษาคนหนึ่งเกาะหลังผมอยู่ครับ ผมก็ถามว่าเค้ามาจากไหน พี่เค้าทำหน้าเครียดสักพักก็บอกว่า สถานที่เป็นตรอกเล็ก ๆ มีต้นไม้รกครึ้ม (!!!!) ไม่ต้องสืบเลยครับ ลักษณะแบบนี้เคยไปมาที่เดียว ผมก็ถามว่าเค้าตามมาทำไม พี่เค้าบอกเค้าตามมาเพราะเราไปว่าเค้า ว่าคิดยังไงมาตายตรงนี้วะ (จริง ๆ ไอ้ผมก็จำไม่ได้หรอกครับ ว่าคืนนั้นปากหมาพูดะไรไปบ้าง) สุดท้ายผมก็ถามว่าแล้วต้องทำยังไง พี่เค้าบอกว่าผู้หญิงคนนี้เค้าเสียชีวิตเพราะผิดหวังเรื่องความรัก วิธีขอโทษเค้าก็เลยต้องนำดอกกุหลาบไปใส่บาตรทุกเช้า วันละ 1 ดอก 3 วัน ขอย้ำอีกทีนะครับ ว่าผมไม่เชื่อเรื่องผี เอาจริง ๆ เดินสายลบหลู่เลยแหละ แต่เชื่อไหมครับ ต่อให้ไม่เชื่อ พอโดนทักเข้าแบบนี้มันก็หวั่น ๆ ครับ ผมเลยมีโอกาสได้ตื่นเช้าเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสิบปี ไปเอาดอกกุหลาบรอใส่บาตรพระ 3 เช้าติดเลย 
 
          ส่วนกรณีเพื่อนผมอีกคนที่โดนทัก (ไอ้นี่ก็ไปกับผมแทบทุกที่เหมือนกัน) เพื่อนผมหนักกว่าผมเยอะครับ ไปโดนนางไม้ชุดไทย 2 คนตามกลับมาจากจุฬาฯ เป็นพี่น้องกัน เกาะบ่าซ้ายบ่าขวาเลย มีโอกาสยังไงเมื่อไหร่ จะมาเขียนเล่าเรื่องนี้ให้ฟังนะครับ 

5. มหาวิทยาลัยศิลปากร เขตพระราชวังสนามจันทร์ 
 
          มหาวิทยาลัยศิลปากร เขตพระราชวังสนามจันทร์  ขึ้นชื่อเรื่องผีดุ อันดับต้น ๆ ของเมืองไทย พูดถึงมหาวิทยาลัยศิลปากร แน่นอนว่าบุคคลแรกที่เราจะต้องนึกถึง คงไม่พ้น ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี "นาย... ถ้าฉันตาย นายนึกถึงฉัน นายรักฉัน นายไม่ต้องไปทำอะไร นายทำงาน" ประโยคนี้ เป็นประโยคที่ผมได้ฟังได้อ่านทีไร ยังรู้สึกขนลุกทุกครั้งครับ มหาวิทยาลัยศิลปากร เขตพระราชวังสนามจันทร์ ตั้งอยู่บนเนื้อที่เดิมของอาณาบริเวณเขตพระราชฐานพระราชวังสนามจันทร์ครับ เป็นพระราชวังฤดูร้อนในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เรื่องราวของที่นี่ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับที่สวนสุนันทาพอสมควรครับ อาจจะด้วยความที่เป็นวังเก่าเหมือนกัน

          - ลานทรงพล 

          ทุกวันนี้ก็เป็นลานที่สวยงานครับ ร่มรื่นด้วยหมู่ไม้ แต่พอฟังประวัติก็ถึงกับเสียวสันหลัง เพราะว่าลานทรงพลที่ผมไปยืนอยู่ ณ เวลานั้น เค้าบอกว่าเป็นลานประหารเก่า (คือเค้าเคยฟันหัวกันตรงที่ผมยืนนั่นเอง) บ้างก็ว่าห้ามสวดชินบัญชร บ้างก็ว่าเห็นผู้หญิงนุ่งห่มสไบ


          - ชั้นสองตึกอักษรฯ 

          คณะอักษรศาสตร์ ก็นับได้ว่าเป็นคณะแรกของวิทยาเขตสนามจันทร์เลยนะครับ (ข้อมูลผิดพลาดยังไงขออภัย) ก็เล่ากันว่าที่ชั้นสองของตึกคณะ มีหลายคนเคยพบเห็นคนโบราณนุ่งโจงกระเบนสีแดงสด

          - ศาลหน้าตึกอักษรฯ 

          ผมมีพี่คนหนึ่งเรียนอยู่ที่นี่ครับ ชื่อพี่โดนัท พี่โดนัทเล่าให้ฟังว่าเคยมีเพื่อนเค้าคนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาไหว้ศาลแล้วก็ขี่ออกไป สักพักคนที่ขี่ก็ได้ยินเสียงอะไรครูดคราดที่ด้านหลัง หันกลับไปเห็นคนครึ่งตัวคลานตามมา (ผมว่าถ้าเรื่องนี้เป็นจริง เพื่อนพี่โดนัทไม่น่าจะทำแค่ไหว้ น่าจะทำอะไรร้ายแรงกว่านั้น ไม่งั้นคงไม่โดนคลานตาม)

          เรื่องของศาลตึกอักษรฯ ยังไม่หมดครับ น้อง ๆ ในคณะหลายคนบอกกันว่า ศาลที่คณะจัดได้ว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ขออะไรส่วนใหญ่จะสำเร็จทุกทีไป แต่มีกฎก็คือ "ขอได้ แต่ห้ามบน" น้องคนเดิมเล่าให้ฟังต่อว่าเคยมีรุ่นพี่มาบนเรื่องสอบ แล้วปรากฏว่าสอบได้จริง ๆ แต่ดันไม่ไปแก้บน คืนหนึ่งรุ่นพี่คนนี้ก็ฝัน ว่าตัวไปอยู่ในโรงละครทรงพลพร้อมกลุ่มเพื่อน ๆ ที่ไปบนด้วยกัน แล้วก็มีเพชฌฆาตร่างสูงใหญ่ เดินมาฟันหัวพวกเค้าทีละคน

          - สะพานข้ามดาว 

          เวลาเที่ยงคืนห้ามปั่นจักรยานผ่านสะพานข้ามดาว (สะพานจะอยู่แถว ๆ ลานทรงพล) หากไปปั่น ว่ากันว่าจะไม่ได้กลับมายังที่เดิม (น่าจะหมายถึงทะลุมิติอะไรแบบนั้นครับ)

          - เพลงกลิ่นจันทร์ 

          เพลงนี้เห็นว่าเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยครับ หากใครร้องยามค่ำคืนต้องร้องให้จบ ไม่งั้นจะเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทย (เรื่องนี้คล้าย ๆ กับตำนานเพลง "เจ้านกน้อย" ของมหิดลอยู่เหมือนกันครับ แต่ของมหิดลนี่ถ้าร้องไม่จบจะมีผีมาช่วยร้องต่อให้จบ เรื่องเพลงเจ้านกน้อยที่มหิดลนี่ดังพอตัวเลยนะครับ เพื่อนผมอยู่ ม.กรุงเทพ ยังเคยได้ยิน)

          - ตึกศิลป์ 3 คณะมัณฑนศิลป์ 

          เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวพี่โดนัทเองเลยครับ พี่โดนัทเรียนอยู่คณะมัณฑนศิลป์ ช่วงรับน้องก็อยู่มหาวิทยาลัยกันดึกดื่นเตรียมทำพร็อพ ระหว่างนั้นเองก็มีเพื่อนอีกคนนึง ควักเอากล้องวิดีโอขึ้นมาถ่าย ปรากฏว่าระหว่างถ่ายเค้าเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาววาบผ่านหน้ากล้องไป เพื่อนคนนี้ก็ตกใจรีบเรียกเพื่อน ๆ มาดู ก็กรอเทปย้อนกลับไป (สมัยนั้นเป็นเทปมินิ DV ครับ) แล้วพอเปิดเล่นใหม่อีกครั้ง ก็ยังพบว่าถ่ายติดผู้หญิงชุดขาวคนนั้นอยู่ในกล้องด้วย ทุกคนต่างก็ตกใจ จึงรีบลบออกทันที (ถ้าเป็นสมัยนี้คงได้ไปออกคลิปแบตเทิลแล้วนะครับ)

          เรื่องยังไม่จบง่าย ๆ ครับ คืนต่อมาพวกพี่โดนัทก็ยังคงทำพร็อพกันต่อ เพื่อนอีกคนที่เพิ่งมาใหม่ (พี่โดนัทเล่าว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนมีเซ้นส์) เพื่อนคนที่มีเซ้นส์นี้เองที่ได้บอกพี่โดนัทว่าให้บอกเพื่อนให้เบา ๆ หน่อย มีคนมาดูอยู่นะ เป็นผู้หญิงชุดขาว (ทั้ง ๆ ที่พี่คนนี้ไม่ได้รู้เรื่องผู้หญิงชุดขาวในกล้องมาก่อนเลย)

          เรื่องนี้ยังมีภาค 2 นะครับ คือพี่โดนัทเนี่ยมีเพื่อนคนนึงชื่อพี่เอ (ทุกวันนี้เป็นอาจารย์สอนที่ศิลปากรด้วย) พี่เอเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีอย่างรุนแรง พอพี่เอรู้เรื่องที่เพื่อน ๆ ถ่ายติดผี แกก็ไม่เชื่อครับ ก็มานั่งทำงานพร็อพด้วยกันในอีกคืนหนึ่ง ระหว่างนั่งกันอยู่พี่เอก็ดีดฝาน้ำเล่น ๆ แต่ฝาที่ว่า กลับลอยไซด์โค้งไปปิดสวิตช์ไฟดับ ซึ่งไอ้สวิตช์ไฟที่ว่าเนี่ยอยู่ไกลมากกกก แค่ดีดให้ฝาน้ำไปปิดสวิตช์ไฟดับได้ก็ยากแล้ว นี่ลอยไซด์โค้งข้ามกลุ่มเพื่อนไปดับได้อีก นั่นล่ะครับ ทุกคนพากันวิ่งป่าราบอยู่ไม่ไหวแล้วหลังโดนกันมาหลายคืน (ผมมีโอกาสได้ไปคุยกับพี่เอด้วยนะครับ แกก็ยังยืนยันว่าไม่ใช่ผีหรอก บังเอิญ 55555)

          เช้าวันต่อมาทุกคนก็เอาดอกไม้ เอาลำไยมาขอขมาล่ะครับ โดยวางไว้บนตู้ดับเพลิง ตกเย็นมาดูปรากฏว่าลำไยถูกแกะซะงั้น พี่โดนัทก็บอกว่าไม่น่าจะใช่ฝีมือสัตว์ เพราะตู้ดับเพลิงมันอยู่สูง ก็เป็นอีกเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้ครับ


          - เรือนนางสนม
 
          นี่เป็นเรื่องที่พูดได้ว่าน่ากลัวที่สุดของที่นี่เลยครับ เรือนนางสนมนี่นางสนมเป็นใครไม่มีข้อมูลใด ๆ บอกไว้เลย แต่เท่าที่ฟังมานี่คือมีอายุเก่าแก่มาก บางกระแสว่าเผลอ ๆ เก่าประมาณสมัย ร.5 ด้วยซ้ำ เรื่องเล่าเรือนนางสนมนี่เยอะมากครับ มีตั้งแต่ถ้าไปปั่นจักรยานหน้าเรือนนางสนมตอนดึก ปั่น ๆ ไปจะรู้สึกว่ารถหนักขึ้น หันหลังไปจะเห็นมีผู้หญิงชุดไทยไม่มีหน้านั่งซ้อนหลังอยู่ แถมไม่นั่งอย่างเดียว เอาเล็บยาวเฟื้อยลากพื้นไปด้วยอีกต่างหาก

          อาจารย์เอ (ขอเรียกอาจารย์นะครับ พี่เค้าเป็นอาจารย์แล้ว) แกเล่าว่าเคยฟังมาว่าเหตุผลที่บ้านหลังนี้ปัจจุบันต้องปิดหน้าต่าง ก็เพราะว่าคนผ่านไปผ่านมาชอบเห็นผู้หญิงรำอยู่ในตัวเรือน (เรือนจะเป็นสถาปัตยกรรมยุคเก่าครับ ยกใต้ถุนขึ้นสูง) และทีเด็ดมันอยู่ตรงที่คนเข้าไปในเรือนน่ะ จะไม่เจอ คนเจออะ จะเป็นคนที่รออยู่ข้างนอก !!

          ผมได้ลองขึ้นไปกันมาแล้วด้วยนะครับ เอาจากเริ่มแรกก่อน ก็ไปเดินสำรวจใต้ถุน แค่ใต้ดินก็วิ่งกันแล้วครับ ไปเจองูเหลือมตัวเบ้อเริ่ม เพื่อนผมว่าเป็นงูเหลือมจุดทอง (ลายจุดทอง ๆ ตามตัว) โบราณว่าถ้ามีงูเหลือมลักษณะนี้อยู่ใต้ถุนบ้าน แปลว่าเป็นงูเจ้าที่ ก็ขึ้นไปบนเรือนกันครับ ไปสำรวจกันดู (ไม่ได้ไปทำลายอะไรเลยนะครับ กล่าวขอโทษเด็กทับแก้วมา ณ ที่นี้) ลักษณะภายในก็เป็นเหมือนที่เราเห็นตามหนังย้อนยุคแหละครับ ยุคคนไทยแต่งสูทใส่หมวกนั่งรถม้า จะลองก็ต้องลองให้สุดครับ ผมก็เลยไปลองรำดูใกล้หน้าต่าง ถามว่ากลัวไหมก็กลัวอยู่แล้วครับ แต่ไปทั้งทีต้องเอาให้สุด ระหว่างรำอยู่นี่ได้ยินเสียงอะไรรอบตัวตลอดเลยครับ แต่บอกไม่ได้ว่ามันเสียงอะไร จนมาตัดสินใจหยุดแล้วลงดีกว่าตอนได้กลิ่นกลิ่นหนึ่งครับ เป็นกลิ่นคล้าย ๆ กลิ่นสาบคนแก่ พอลงมาก็ไปถามน้อง ๆ ที่อยู่ด้านล่างครับว่าเห็นอะไรตามเรื่องเล่าบ้าง น้องมันบอกไม่รู้ไม่กล้ามอง (ยิ้ม !)



 
          - สระแก้ว
 
          แต่เดิมใช้เป็นที่ถ่วงน้ำนักโทษครับ เคยมีคนมาเล่าให้ฟังด้วยว่าเคยงมพบลูกตุ้มถ่วงน้ำจากในสระ อันนี้จริงเท็จยังไงผมไม่ทราบจริง ๆ เพราะไม่ได้ลงไปดำดู

          - สไบเขียว-สไบแดง 

          อาจารย์เอ (ผู้ไม่เชื่อเรื่องผี) เล่าให้ฟังครับ ว่าสัก 8-9 ปีที่แล้วนับจากสมัยแกยังเป็นนักศึกษา สมัยนั้นส่วนใหญ่คนจะขี่จักรยานในมอกัน หากปั่นเส้นเลียบคลองตอนเที่ยงคืน (ตอนนี้เป็นตึกหมดแล้ว) ปั่นไปเค้าว่าจะเจอผู้หญิงใส่ชุดไทยโบกมือให้จากริมคลอง ถ้าเจอสไบขียวก็โชคดีไป แต่ถ้าเจอสไบแดง ห้ามหันไปมองให้เค้ารู้ตัวเด็ดขาด ไม่งั้นเค้าจะตามกลับไปบ้าน

6. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

          ไปลองของมาหลายมหาวิทยาลัยครับ แต่ที่จุฬาฯ เป็นที่เดียวเลยที่แตกต่างจากที่อื่น คือเรื่องผีของที่นี่ มันจะแฝงไปด้วยอารมณ์อุ่น ๆ ใส ๆ เหมือนโทนหนังญี่ปุ่น feel good ให้ความรู้สึกดีมากกว่าจะรู้สึกกลัว สำหรับผู้ที่จะพาผมบุกเรื่องผีในมหาวิทยาลัยนี้แบ่งได้เป็น 2 คน 2 ทางครับ คือน้องอาร์ตตี้ เป็นคนพาทัวร์คณะรัฐศาสตร์ และน้องไอซ์ จะพาทัวร์ฝั่งนิเทศฯ สำหรับเรื่องความเก่าแก่นั้นหายห่วงครับ ที่นี่คือมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย มาเริ่มเรื่องแรกกันเลยครับ (ผมขอไม่พูดถึงเรื่องเก่า ๆ ตามอินเทอร์เน็ตแล้วกันนะครับ เอาเฉพาะเรื่องที่ผมไปค้นข้อมูลมาในมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง)

          - ชั้น 2 ตึกรัฐศาสตร์ 

          ตึกรัฐศาสตร์ที่นี่เก่าเกือบร้อยปีเลยนะครับ เห็นว่าตอนนี้เป็นตึกอนุรักษ์ของกรมศิลปากรแล้วด้วย และเรื่องผีเรื่องนี้ผมฟังมาจากแม่บ้านที่อยู่ในมหาวิทยาลัยนี้มาตั้งแต่เกิด (ตั้งแต่เกิดจริง ๆ ครับ แกเล่าว่าแกคลอดในจุฬาฯ) แกว่าที่ตามตึกกิจฯ (กิจการนิสิต) ตามตึกรัฐศาสตร์ ไอ้เรื่องได้ยินเสียงดนตรีนี่เรื่องปกติครับ มีไม่ปกติก็ที่ชั้น 2 แกเล่าว่าเคยมีคนนั่งอ่านหนังสืออยู่ ระหว่างอ่านก็มีร่างของคนคนหนึ่งเดินผ่าน คนที่อ่านหนังสืออยู่ก็ไม่ได้คิดอะไร ก็คนผ่านไปผ่านมาธรรมดา จนเล่นเอาช็อกเกือบตกเก้าอี้ ก็ตรงมาเห็นว่าคนที่เดินผ่านไปเมื่อกี้นั้น เป็นคนคนเดียวกับบุคคลในรูปที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว (ตามทางเดินชั้น 2 ตึกรัฐศาสตร์ เมื่อก่อนจะแขวนรูปบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยไว้ครับ ส่วนบุคคลตามเรื่องเล่าท่านเป็นใครผมขอไม่เอ่ยถึงละกัน ขอเซฟตัวเองนิดนึงครับ เดี๋ยวโดนด่าว่า มาอ้างว่าอาจารย์ฉันกลายเป็นผีได้ยังไงอีก)

          - ตึกกิจการนิสิต 

          อาร์ตตี้เล่าให้ฟังครับว่าตึกกิจฯ แต่ก่อนนี่น่ากลัวได้เรื่องอยู่ เป็นอาคารไม้ 1 ชั้นครึ่ง (อีกครึ่งเป็นชั้นใต้หลังคา) เห็นว่ามีคนผูกคอตายตรงใต้หลังคาด้วย แต่ทุกวันนี้ตึกกิจฯ ไม่น่ากลัวแล้วครับ ปรับปรุงใหม่กลายเป็นตึกลงทะเบียนดูสวยงาม เส้นทางเดินไปยังตึกกิจฯ ถ้าเรานึกภาพตามสมัยนั้นก็คงน่ากลัวจริง ๆ ครับ เพราะก่อนถึงตึกกิจฯ จะต้องเดินผ่านต้นไทรต้นเบ้อเร่อ ผ่านต้นไทรยังมาเจอตึกไม้เก่า ๆ อีก ก็เข้าใจทำไมแต่ก่อนนักศึกษาถึงไม่ค่อยอยากเดินผ่านตึกกิจฯ ตอนดึก ๆ

          มาเรื่องผีกันบ้างครับ อาร์ตตี้เล่าให้ฟังว่าเค้าเคยมาเก็บของที่ตึกกิจฯ ตอนหัวค่ำ (ห้องสโมสรนิสิตรัฐศาสตร์) เปิดประตูเข้าไปพบคนยืนหันหลังอยู่ในห้อง อาร์ตตี้ ก็ตะโกนถามไปว่า "ใครน่ะ ?" คนคนนั้นไม่ตอบครับ แต่วิ่งหนีไปด้านหลัง อาร์ตตี้ก็ตามไป เรื่องมันมาหลอนตรงนี้ครับ เพราะห้องมันห้องนิดเดียว แต่อาร์ตตี้หาตัวคนที่ว่าไม่เจอ ทางเข้าทางออกก็มีประตูเดียว แล้วมันหายไปไหน

          - เชียร์ลีดเดอร์ 

          เรื่องต่อมาเป็นเรื่องของสาว ๆ เชียร์ลีดเดอร์คณะรัฐศาสตร์ครับ พวกเธอเล่าให้ฟังว่าก็ซ้อมเต้นกันอยู่หลังตึกคณะตัวเอง (หลังตึกรัฐศาสตร์จะเป็นตึกกิจฯ) ก็เต้นไปตามท่าเค้าล่ะครับ แล้วมันจะมีอยู่ท่าหนึ่งที่ทำให้ต้องมองลอดใต้หว่างขาโดยบังเอิญ จังหวะนั้นล่ะครับ เธอเล่าให้ฟังว่าเห็นคนนั่งห้อยขาอยู่บนขอบดาดฟ้าตึกรัฐศาสตร์

          -  อิฐ 9 ก้อน 

          ที่หน้าตึกเศรษฐศาสตร์จะมีอิฐอยู่ก้อนหนึ่งครับ ที่เกยขึ้นมาไม่ตรงร่องต่างจากก้อนอื่น ๆ ตรงจุดนี้ผมเคยไปมาสองรอบครับ ระยะเวลาห่างกันประมาณเกือบครึ่งปี กลับไปมันก็ยังเกยขึ้นมาอยู่ยังงั้น เด็กนักศึกษาเค้าว่าห้ามไปเดินเหยียบอิฐก้อนนั้นนะครับ ไม่งั้นเช้ามาที่ขาจะมีรอยช้ำเป็นจ้ำ ๆ ผมไปได้ทราบประวัติที่มาของเรื่องอิฐ 9 ก้อนนี้มาครับ เจ้าของเรื่องเค้าบอกว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว (ถ้านับตอนนี้ก็น่าจะ 6 ปีครับ เพราะผมไปมาปีที่แล้ว) เค้าเล่าว่ามีนักศึกษาคณะบัญชีปี 4 ครับ ทะเลาะกับแฟน (คณะอะไร ปีอะไรไม่ทราบครับ) ข้อมูลที่ได้มานี่ ผมได้มาเป็นบทสนทนาเลยครับ

          ผู้ชาย : "จะเลิกใช่ไหม ?"
          ผู้หญิง : "อืม จะเลิก"
          ผู้ชาย : "จะเลิกใช่ไหม ?"
          ผู้หญิง : "อื้อ"
          ผู้ชาย : "จะเลิกแน่นะ"

          สิ้นเสียง "จะเลิกแน่นะ" ผู้ชายเค้าก็กระโดดตึกลงไปต่อหน้าผู้หญิงเลยครับ แล้วจุดที่ผู้ชายเค้าตกลงมาตายนั่นล่ะครับ คือจุดเดียวกับที่อิฐมันเกยขึ้นมา สาเหตุน่าจะเกิดจากการที่ร่างตกลงมากระแทกกับพื้น หลังจากนั้นเห็นว่าพยายามยังไง เปลี่ยนพื้นเท่าไหร่อิฐตรงนั้นก็ไม่เคยสมานเรียบกันได้ซะทีครับ (ส่วนทำไมชื่อเรื่องมันชื่ออิฐ 9 ก้อนนี่ผมไม่รู้จริงๆ)

          - สนามฟุตซอล คณะสถาปัตยฯ

          ที่คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ เค้าจะมีสนามฟุตซอลภายในตัวตึกด้วยนะครับ ตอนเห็นครั้งแรกนี่อิจฉามาก และเรื่องผีของที่นี่ก็สืบมาจากสนามที่ว่านี้ล่ะครับ (ตอนรู้เริ่มไม่ค่อยอิจฉาละ) ตอนเย็น ๆ ยาวไปถึงค่ำ ๆ เนี่ย จะมีเด็กนักศึกษามาเตะบอลกันแหละครับ และระหว่างเตะก็มีคนเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมายืนดูอยู่ตรงระเบียงชั้นสอง มาดูทุกวันเลยนะครับ เห็นทุกวันแถมเห็นกันทุกคน จนวันหนึ่งน้องคนนึงมันก็ทนสงสัยไม่ไหว ก็ขึ้นไปกะชวนคุย ถามว่าเป็นใคร มีธุระอะไรรึเปล่า ? ก็เดินขึ้นบันไดคดเคี้ยวเลาะไปครับ พอขึ้นไปถึง ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นมีแค่ครึ่งตัว แถมยังหันมายิ้มให้แล้วก็หายไป

          - ตึกจุลฯ 

          ตึกจุลนี่เรื่องผีเยอะมากครับ เยอะมาก ๆ ๆ ๆ มีทั้งเสียงร้องไห้ คนโดดตึก ผู้หญิงชุดขาวเดินทะลุกำแพง (เห็นว่าตึกนี้หลัก ๆ จะเป็นคณะวิทยาศาสตร์ ผิดถูกยังไงขออภัยครับ) เรื่องผีเยอะจริงครับ แต่เรื่องที่เด็ดที่สุด ผมว่าเป็นเรื่องนี้

          คือจุฬาฯ จะมีเพลงประจำมหาวิทยาลัยชื่อเพลง "มหาจุฬาลงกรณ์" ครับ แล้วที่ชั้น 11 ตึกจุล ว่ากันว่าถ้าอยากเจอให้ขึ้นไปที่ชั้น 11 เดินไปหาจุดที่มองออกไปนอกตึกได้ แล้วร้องเพลงที่ว่านี้ พอร้องไปจนถึงท่อนว่า "นิสิตพร้อมหน้า..." จะเห็นนิสิตหลายคน กระโดดตึกลงมาพร้อมหน้าตามเนื้อเพลงเลยครับ

          ทีนี้เราจะข้ามถนนไปอีกฝั่งนึงแล้วนะครับ ไปยังฝั่งนิเทศฯ พร้อมน้องไอซ์ น้องไอซ์เป็นผู้ชายหน้าตาดีครับ เซอร์ ๆ ดิบ ๆ มาดตากล้อง เห็นว่าในคณะก็ดังพอตัว เรื่องแรกนี้เกิดขึ้นที่ชั้น 4 ตึกนิเทศฯ ตึกใหม่ครับ ที่เกิดเหตุมันเป็นประมาณชานยื่นออกไปนอกตัวตึก รุ่นพี่ไอซ์เค้าไปถ่ายหนังสั้นกัน เป็นหนังผีซะด้วย เนื้อหาก็ประมาณว่าจะมีผีอยู่ข้างล่าง 5 คน ทำท่าโบกมือไปมา ทีนี้พอเอาฟุตเทจมาเตรียมจะตัดต่อกัน มือคน 5 คนที่ควรจะมีแค่ 10 มือ ดันมีเพิ่มมากลายเป็น 11 มือ



          เรื่องที่ชั้น 4 นี่ยังมีต่อเนื่องอีกเรื่องครับ เรื่องนี้ผมได้ฟังมาจากน้องปีหนึ่งจุฬาฯ คนนึง ไปเห็นเค้ายืนซื้อลูกชิ้นอยู่ป้ายรถเมล์หน้ามอพอดี เลยบวกซะเลย น้องเค้าเล่าให้ฟังว่ามีรุ่นพี่เรียนการแสดงอยู่คนนึงครับ เห็นว่าคืนนั้นเป็นวันเกิด ก็เลยกะจะแกล้งเซอร์ไพรส์กันด้วยการปลอมเป็นผีไปหลอก ก็นัดเจอพี่เจ้าของวันเกิดคนนี้ที่บันไดหนีไฟ พี่เค้าก็ไปรอครับ พอเป้าหมายมาถึงทุกคนก็ปิดไฟตามแผน ทีนี้พี่เค้าก็กรี๊ดครับ ซึ่งทุกคนก็คาดไว้แล้วล่ะ ว่าพี่เค้าต้องกรี๊ด แต่ทีนี้เหมือนเสียงกรี๊ดมันรุนแรงผิดปกติ ทุกคนก็เลยเปิดไฟรีบเข้าไปดู กลัวเรื่องมันจะเลยเถิด สุดท้ายเรื่องราวเผยออกมาว่าตอนที่ไฟดับลง พี่เจ้าของวันเกิดคนนี้ เค้าดันโดนผีหลอกขึ้นมาจริง ๆ ครับ

          - พี่ธาดา  

          เรื่องต่อไปนี้ ถึงขั้นว่ากันว่าพวกรุ่นพี่นิเทศฯ เก่า ๆ ไม่มีใครไม่รู้จักตำนานเรื่องนี้ ตำนานพี่ธาดาแห่งห้องล้างฟิล์ม ว่ากันว่ามีคนเห็นพี่ธาดาเข้าไปล้างฟิล์มในห้องมืด แล้วจากนั้นมา ก็ไม่เคยมีใครได้เห็นพี่ธาดาอีกเลย ไอซ์ได้เล่าเสริมถึงเรื่องนี้ไว้ครับ ว่าสำหรับคณะเค้าเอง เด็กปี 1 จะต้องถูกรับน้องด้วยการไปลองของตำนานผี "พี่ธาดา" ของคณะ ถูกเอาผ้าปิดตาเดินกันเข้าไปในห้องล้างฟิล์มมืด ๆ (ที่ปัจจุบันกลายเป็นห้องเพื่อกิจกรรมอย่างอื่นไปแล้ว) แม้สุดท้ายจะมารู้ภายหลัง ว่าตำนานดังกล่าวถูกแต่งขึ้นโดยรุ่นพี่ (รุ่นพี่คนที่ว่าคือ พี่เก้ง จิระ มะลิกุล หัวเรือใหญ่แห่ง GTH ค่ายหนังที่แค่ชื่อ ก็การันตีความฮิต) แต่ใจความสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนั้น เรื่องจริงเรื่องแต่งไม่เกี่ยว...

          มันสำคัญตรงที่เรื่องผีที่เกิดขึ้นนี้ ได้สร้างความผูกพันกลับบ้านก็ต้องชวนกันกลับ เพราะเดินคนเดียวมันเสียว สร้างเรื่องราวที่หวนกลับไปคิดถึงเมื่อไร เป็นต้องอมยิ้มทุกครั้ง ศิษย์เก่าศิษย์ใหม่ไม่เคยรู้จักกัน แต่พอเอ่ยถึงพี่ธาดา ประสบการณ์เดินเอาผ้าผูกตาเป็นได้โม้สู่กันฟังเป็นฉาก ๆ ไอซ์รีบสรุปปิดท้าย (อาจเพราะอยากไปนั่งกระดกเบียร์กับพวกเราเต็มทีแล้ว) ว่าเข้าใจว่าสำหรับผู้ใหญ่ในมหา'ลัย เป็นธรรมดาที่จะมองเรื่องผีว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสีย ทำให้สถาบันเสียชื่อเสียง แต่แง่มุมดีๆของมันก็ใช่ว่าจะหาไม่เจอ อย่างน้อยตัวเค้าเองก็ได้เพื่อนที่ทุกวันนี้เดินกอดคอกันได้แบบไม่เคอะเขินจากคืนล่าท้าผีคืนนั้น คืนที่เค้าได้รู้จักกับพี่ธาดา

          "ผมว่าคงไม่มีเด็กคนไหนที่ย้ายที่เรียน หรือเลือกไปเรียนที่อื่นเพราะมหา'ลัยมันมีผีหรอก" ไอซ์พูดสรุปเรื่องลงในที่สุดครับ

          มาถึงเรื่องสุดท้าย ถ้าใครตามอ่านกระทู้มาตั้งแต่แรก คงจำได้ว่าผมเคยเล่าให้ฟังว่า เคยไปให้คนดูว่าลองของกันมาขนาดนี้ ทุกวันนี้มีผีอะไรตามกลับมาบ้าง ก็อย่างที่เล่าไป ผมโดนตามมาสองตัว เด็กกับพี่สาว ประเด็นอยู่ที่เพื่อนผม คุณฟิล์มครับ (คนคนนี้ก็ไปกับผมทุกที่เหมือนกัน) ฟิล์มโดนหนักกว่าผมเยอะครับ โดยนางไม้ใส่ชุดไทยตามกลับมา 2 คน เกาะบ่าซ้ายบ่าขวา แถมเป็นพี่น้องกันอีก ซึ่งที่มาก็มาจากที่มหาวิทยาลัยจุฬาฯ นี่เองครับ ต้นไทรหน้าตึกรัฐศาสตร์คนนึง อีกคนนี่จากต้นไทรตรงโรงอาหารแถวตึกกิจฯ (ต้นไทร 2 ต้นนี้ประวัติเยอะครับ บ้างว่าเห็นผู้หญิงชุดไทยเดินออกมาจากต้นไม้ ว่าก็เห็นนั่งอยู่) ถามว่ารู้ได้ไงว่าเค้าตามมาจากจุฬาฯ คือพี่คนที่มีสัมผัสวิญญาณเค้าดูฟิล์มแล้วก็ทักครับ ว่าเคยไปชมต้นไม้ที่ไหนว่าเค้าสวยรึเปล่า จบประโยคเท่านั้นฟิล์มอ๋อเลยครับ พี่คนที่มีสัมผัสวิญญาณเค้าบอกว่า นางไม้ที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้เค้าคิดว่าชมเค้าสวย เค้าก็เลยตามมา และเค้าไม่ได้มาคนเดียว น้องเค้าก็ตามมาด้วย เพราะเค้าต้องอยู่เป็นคู่ (ภายหลังฟิล์มเค้ามาเล่าให้ฟังครับ ว่าตอนนั้นกูไม่ได้ชมต้นไม้โว้ย กูบอกว่าเฟรมกล้องมุมนี้สวยจัง ตอนนั้นถ่ายวิดีโอกันไปด้วยครับ ก็ซวยไป เดือดร้อนต้องไปซื้อดอกไม้ 5 สี 5 กลิ่น 5 ชนิดมาแก้)

          พี่คนที่มีสัมผัสวิญญาณก็แนะนำมาครับ เวลาไปที่ ๆ มีของหรือคิดว่าน่าจะมีผี อย่าไปพูดชมอะไร ๆ ออกมามั่วซั่ว เพราะเค้าจะเข้าใจว่าเราชมเค้า ฟังดูโคตรไม่มีเหตุผลใช่ไหมครับ แรก ๆ ผมก็คิดแบบนี้ จนทุกวันนี้หลังจากไปข้องเกี่ยวกับเรื่องผี ๆ เข้ามาก ๆ ฟังมาหลาย ๆ เรื่อง เริ่มเฉย ๆ และทำใจครับ ว่าพวกผีหลาย ๆ ครั้งมันไม่มีเหตุผลจริง ๆ

          มีครั้งนึงลงใต้ไปลองของที่ ม.หาดใหญ่ครับ ก็เกือบโดนกับตัวที่มหาวิทยาลัยนั้นมันจะมีตึกร้างอยู่ตึกนึง (ตึกร้างนี่ ม.ทักษิณ) ก็มีห้อง ๆ นึงครับ แปะวอลเปเปอร์สวยมาก ผมก็เผลอชมไปว่าห้องนี้สวยแฮะ ก่อนมานึกได้ว่าห้ามชมก็เลยบอก เฮ้ย ไม่สวยละ แต่มาคิดอีกทีเค้าจะโกรธเปล่าวะบอกไม่สวย สุดท้ายเลยบอกผมไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ (เหนื่อยกว่าเจอผีอีกฮะบางที)

7. มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (รังสิต)

          ทุกครั้งที่ได้ไปเยือนมหาลัยนี้ ผมเป็นต้องใจเต้นทุกครั้งเลยครับ สาว ๆ นักศึกษาที่นี่น่ารักมากกกก (การันตีด้วยอันดับ 1 โพลผลโหวต มหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาน่ารักที่สุดของปีที่แล้ว) แต่กับเรื่องผีนี่คนละเรื่องเลยครับ ตอนที่ผมหาข้อมูลเตรียมไปถ่ายเกี่ยวกับเรื่องผีของที่นี่บอกได้เลย... ว่าไม่มีแม้แต่เรื่องเดียว ไม่มีจริง ๆ ครับ ตามเน็ต ตามกระทู้ ตามเว็บบอร์ดเมื่อพูดถึงมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ล้วนมีแต่เรื่องสยองตามหอพักทั้งนั้น คนโดดตึกตายบ้าง โดนยิงบ้าง แต่ในตัวมหาวิทยาลัยนี่ไม่มีเลย (เล่นเอาโมโหจนเผลอบ่นออกมาเลยครับ ว่าเด็กที่นี่มันยังไง เรียนกันอยู่ไม่มีตายกันบ้างไง? (ฮ่า)) ผมวางแผนไว้ว่าจะเริ่มถ่ายกันประมาณสองทุ่มครับ ขณะที่กำลังจะตัดใจอยู่แล้วนั่นเอง เวลาประมาณ 18.30 น. ก็มีแสงสว่างส่องลงมาครับ น้องสนิทผมคนนึง (ตอนนี้ไปอยู่เชียงใหม่แล้ว) โทรมาเล่าเรื่องผีของ ม.กรุงเทพ ให้ผมฟังครับ เธอได้ข่าวว่าผมกำลังหาข้อมูลอยู่ แล้วข้อมูลที่ได้มานี่บอกเลยว่าพลิกคดีจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ จากมหาวิทยาลัยที่ไม่มีเรื่องผี กลายเป็นว่าเรื่องผีของที่นี่ ซับซ้อนซ่อนเงื่อนขนาดเอาไปสร้างละครได้เลย

          - เรื่องของ ต.

          ขอชี้แจงนิดนึงนะครับ เรื่องราวของบุคคลชื่อย่อ ต. ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ผมฟังมาจากน้องสาวผมชื่อเพลง และเพลง เธอได้ฟังมาจากน้องสนิทในกลุ่มของ ต. เราไม่ได้มั่วเรื่องหรือปรักปรำหรือหวังร้ายใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น้องในกลุ่ม ต. เค้าได้พบได้เห็นมาเลยนำมาเล่าให้ฟัง หากคนที่รู้จักกับ ต. มาอ่านเข้าแล้วรู้สึกไม่พอใจ ผมขอโทษล่วงหน้าเลยครับ (ผมเคยโดนด่าในยูทูบจนต้องปิดคลิปมาแล้วครับ) และกรุณาอย่าถามเลยครับว่าน้องสนิทของ ต. ไอ้ที่ว่านี่มันเป็นใคร น้องเค้าย้ำมาว่าห้ามบอกว่าเค้าเป็นคนเล่าเด็ดขาด เพราะเค้าไม่อยากซวย (ลองถ้าโกรธถึงขั้นมาถามว่าไอ้คนเล่าเป็นใคร ผมคงไม่กล้าบอกหรอกครับ เดี๋ยวน้องคนนี้มันจะโดนกระทืบเอา)

          มาเริ่มกันดีกว่าครับ ต. เป็นนักศึกษาคณะศิลปกรรมครับ ที่ ม.กรุงเทพ หลังตึกศิลปกรรมจะมีช็อปของคณะอยู่ เป็นอาคารชั้นเดียวมีหลังคากันสาด หน้าอาคารจะเป็นสนามบาส ต. เค้าเสียชีวิตลงที่ช็อปแห่งนี้ครับ เห็นว่าหล่นลงมาจากหลังคา จุดที่เสีย ข่าวว่ายืนหันหน้าให้ตึก จะอยู่ประมาณช่องกันสาดที่ 3 นับจากซ้ายครับ สาเหตุการตาย เล่ากันหลายกระแสครับ แต่ที่หนาหูสุดคือประเด็นที่ว่า ต. เค้าขึ้นหลังคาไปจะถ่ายรูป แล้วพลาดตกลงมา (กระแสนี้มี 2 ทางครับ คือถ่ายรูปส่งอาจารย์ กับถ่ายให้แฟน) หลังจาก ต. ตาย เรื่องก็ไม่ได้ดำเนินไปตามแนวเรื่องผีแต่อย่างใดครับ ไม่มีใครเคยเห็นวิญญาณของ ต. มาเดินเพ่นพ่าน มาปรากฏตัว แต่ที่มันเป็นเรื่อง ก็เพราะเหตุการณ์นี้ครับ

          กลุ่มน้องของ ต. (ที่ผมเล่าไปตอนต้น) อารมณ์น้องเป็นห่วงพี่น่ะครับ ก็อยากรู้ว่าพี่เค้าเสียไปแล้วเป็นยังไงบ้าง ไปสบายรึยัง หรือยังมีห่วงอะไรอยู่ จะได้รับเป็นธุระปะปังจัดการให้ ก็เลยไปหาพวกอาจารย์หมอ พวกนั่งทางในอะไรเถือกนั้น พอไปถึง ตาอาจารย์หมออะไรนี่ก็ดูให้ครับ (อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลละ ส่วนตัวผมบอกเลย ไม่เชื่อกลุ่มคนประกอบอาชีพลักษณะนี้) อาจารย์หมอบอกว่าที่ ต. เค้าตกลงมาตายน่ะ ไม่ใช่อุบัติเหตุนะ เค้าโดนผลักลงมา (!!!) อ้าว ทีนี้พวกน้อง ๆ มันก็ตกใจสิครับ พี่กูโดนฆาตกรรมหรอ ยังไม่ทันจะเรียบเรียงเรื่องราวได้ อาจารย์หมอก็บอกมาอีกว่า คนที่ผลัก ต. น่ะไม่ใช่คน แต่เป็นผี

          ยิ่งช็อกหนักไปใหญ่เลยครับทีนี้ ไอ้พวกน้องกลุ่มนี้ยิ่งรนไปกันใหญ่ ก่อนเหตุการณ์จะลุกลาม ตาอาจารย์หมอคนนี้ก็เสนอจะนั่งทางในเรียกวิญญาณของ ต. มาถามให้ ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว ก็ประกอบพิธีกรรมอะไรของแกไปครับ ชักอยู่ซักพักก็นิ่ง (วิญญาณมาเข้าแล้ว) แต่เรื่องยังพลิกไม่เลิกครับ เพราะวิญญาณที่มาเข้าหมอน่ะไม่ใช่ ต. แต่เป็นไอ้ผีที่ผลัก ต. ลงมา ผีตัวที่ว่านี้มันอ้างตัวเองว่าผีเจ้าถิ่นครับ (ข้อมูลตรงนี้ผู้มีสัมผัสวิญญาณที่ผมรู้จักเคยอธิบายไว้ด้วยนะครับ พี่คนนี้ผมว่าโอเคอยู่ครับ ไม่น่าจะมั่วเหมือนหมอผีตามหมู่บ้าน) พี่เค้าบอกว่าถ้าเชื่อว่าผีมีจริง เราก็ต้องเชื่อว่าเค้ามีระบบของเค้า ในโลกของผี จะมีผีผู้นำหรือผีเจ้าถิ่น ผีเจ้าถิ่นที่ว่านี้จะมีบริวารเยอะน้อยตามแต่อำนาจ และบางครั้งถึงขั้นมีผีเจ้าถิ่นยกพวกไปตีกันแย่งชิงเขตแดนด้วย (ตอนฟังเรื่องนี้การ์ตูนเรื่องอีกาลอยมาเลยฮะ ภาพซูซูรันตีกับโฮเซนชัดเจนในสมอง)

          กลับมาที่ตอนผีเจ้าถิ่นมาเข้าร่างอาจารย์หมอนะครับ พอเข้าปุ๊บมันก็แนะนำตัวเองคร่าว ๆ ว่ามันเป็นใคร แถมยังบอกว่า ต. เนี่ยยังไม่ได้ไปเกิด ไม่ได้ไปไหน มันขังเอาไว้ภายในมหาวิทยาลัย เอาไว้เป็นบริวารของมัน ไอ้น้องคนสนิท ต. เจ้าของเรื่องก็ลองขอครับ ว่าปล่อยพี่ของเค้าไปได้ไหม อยากได้อะไรจะทำบุญไปให้ ไอ้ผีเจ้าถิ่นนี่ก็กวนครับ บอกพี่มึ_เป็นใคร พวกกูอยู่ในนี้มาตั้งนานไม่เคยมีใครออกไปได้ ทำไมกูต้องปล่อยพี่ มึ_

          พอฟังเข้าแบบนี้น้องมันก็ปึ้ดครับ จากตอนแรกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตอนนี้เริ่มไม่เชื่อละ เรื่องราวมันชักอภินิหารเกินไป ไอ้หมอนี่กะสร้างเรื่องหลอกเอาเงินรึเปล่าเนี่ย !? เรื่องมันขนลุกตรงนี้ครับ เพราะไอ้ผีเจ้าถิ่นมันพูดออกมาว่า ถ้าพวกมึ_ไม่เชื่อว่ากูมีอยู่จริง ไปที่ศาลมหาวิทยาลัย ไม่ต้องไปกลางคืนก็ได้ เอาแค่หลังห้าโมงเย็น และพวกมึ_ไม่ต้องไปคนเดียว ยกโขยงกันไปเลยก็ได้ ไปถึงแล้วไปแสดงตัว บอกชื่อ นามสกุล จุดประสงค์ที่มา แล้วกูจะแสดงให้เห็น ว่ากูมีอยู่จริง

          เรื่องเล่าจบลงแค่ตรงนี้ครับ เพราะผมไม่ได้รู้จักน้องคนที่ว่านี้เป็นการส่วนตัว รู้แค่ว่ามันเป็นเพื่อนกับน้องผมที่ชื่อเพลง ถึงตรงนี้ ผมขอบอกว่าพวกผมไปลองแสดงตัวกันมาแล้วนะครับ ไปกัน 4 คน ตอนประมาณเกือบๆ 5 ทุ่ม ไปบอกชื่อ นามสกุล จุดประสงค์ (แน่จริงออกมาเด๊ ! ท้าไว้ไม่ใช่เรอะ โคตรเกลียดเลยพวกอันธพาลเนี่ย) สุดท้ายก็ไม่พบอะไรครับ คาดได้ 2 ทาง หนึ่งคือเรื่องนี้ไม่จริงตั้งแต่แรก กับสอง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่ระหว่างระยะเวลาที่เรื่องเกิดจนถึงพวกผมไปท้า ผีเจ้าถิ่นมันอาจจะสูญเสียอำนาจไปแล้ว ยังไง ๆ ก็สรุปว่าไม่เจอครับ และผมว่าป่านนี้ ต. เค้าคงไปสบาย ๆ ในที่ดี ๆ เรียบร้อยแล้วล่ะ ขออุทิศส่วนกุศลไว้ ณ ตรงนี้ด้วยนะครับ

          - ศาลหอแกรนด์ 

          เรื่องโคตรดังประจำมหาวิทยาลัยนี้ครับ มีครบทั้งลูกเล่นและวิธีโดนหลอก เป็นอีกหนึ่งเรื่องผีที่ผมรู้สึกว่ามันเท่มาก ศาลที่ว่านี้ตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยครับ ลงสะพานลอยมาจะเจอเลย (รึเปล่า ?) เหตุผลที่ถูกเรียกว่า ศาลหอแกรนด์ เพราะตั้งอยู่หน้าหอแกรนด์คอนโดครับ (หอแกรนด์นี่เรื่องผีเดือดสุด ๆ เลยนะครับ มีครบทั้งผีอิสลาม ทั้งผู้ชายร่างยักษ์ตาแดง โดดตึก โดนยิง นี่ครบ) ตำนานเล่าไว้ว่า ศาลนี้ จะเห็นเฉพาะเด็กปี 1 เข้ามาใหม่และมีข้อแม้สำคัญคือห้ามเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเด็ดขาด ไม่งั้นจะไม่เห็น ศาลที่ว่านี่พบเห็นกันหลายรูปแบบครับ ทั้งว่าเป็นศาลไม้ แต่ส่วนใหญ่หลาย ๆ คนจะตอบตรงกันว่าเป็นศาลปูนสีขาวใหญ่โต อันนี้ตอนแรกที่ผมได้ฟังผมคิดเลยว่าโคตรเพ้อเจ้อครับ มาขำไม่ออกตอนเพื่อนผม คุณฟิล์ม (คนเดียวกับที่ขึ้นไปรำบนเรือนนางสนม และโดนผีนางรำพี่น้องตามกลับมาจากจุฬาฯ) มาบอกผมด้วยใบหน้าตื่นเต้นว่า "ผมเองก็เคยเห็นศาลที่ว่าครับ (!) แต่เห็นครั้งเดียว จากนั้นก็ไม่เคยเห็นอีกเลย"

          เรื่องนี้เด็ก ม.กรุงเทพ เค้าเชื่อกันจริงจังเลยนะครับ เพราะมีหลายคนได้เห็นจริง ๆ ที่สยองสุด ๆ ของเรื่องนี้อยู่ที่บรรทัดต่อไปครับ

          เค้าว่ากันว่า คนที่จะเห็นศาลที่ว่านี้ได้ ต้องไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องศาลนี้มาก่อนเท่านั้น มันแปลว่า ทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ หมดโอกาสเห็นศาลเรียบร้อยครับ 555555555555 (ผมนี่โคตรเสียดายครับ ฟิล์มดันเล่าให้ฟังซะก่อน)

          -  เรือนไทย 

          ตรงบริเวณใกล้ศาลของมหาวิทยาลัย จะมีเรือนไทยอยู่ครับ ตอนกลางวันนี่จัดว่าเป็นเรือนที่สวยงามมาก แต่กลางคืนนี่ยังกับหนังผีเขย่าขวัญเลยครับ แถมรอบ ๆ ยังมีต้นไทรต้นใหญ่เรียงเป็นแนวอีก เรือนไทยนี้เล่าว่าคนโดนกันเยอะครับ เดินผ่านมีเสียงดนตรีไทยบ้างอะไรบ้าง ทางเรื่องที่ผมฟังมานี่เค้าว่า มีเด็กนั่งทำงานกันอยู่บนเรือนครับ ก็เสียงดังกันตามประสาวัยรุ่น จังหวะนั้นก็มีน้องคนนึงมองไปที่ตู้ (บนเรือนไทยจะมีตู้ยาว ๆ อยู่ครับ ไว้เก็บชฎา เก็บเครื่องดนตรี) น้องคนนี้เค้าเห็นมีผู้หญิงแต่งชุดรำเต็มยศ หน้าขาว ยืนจ้องมาจากในตู้ครับ

          เรื่องนี้ผมส่งน้องสาวผมไปลุยครับ น้องผมชื่อเอมมิกา (น่ารักนะฮะ เคยประกวดนางสาวไทยด้วย) เอมมิกาเค้าก็ขึ้นไปรำครับ โดยมีพวกผมให้จังหวะเคาะ ร้อง เป็นดนตรีไทยอยู่ข้างล่าง รำไปก็วนไปครับ รอบที่ 1 ไม่มีอะไร รอบที่ 2 ก็ไม่มีอะไร รอบที่ 3 นี่พวกผมตกใจกันทุกคนเลยครับ เอมหันมาแวบแรกที่มอง ใบหน้าไม่ใช่เอม แวบต่อมาถึงจะเห็นครับ ว่าใช่เอม แต่ตาแข็ง มือแข็ง ไม่พูดไม่จา ก็รีบเอาเอมลงมาครับ ให้ยาดม นวดขมับกันอยู่พักใหญ่ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ ยังไง อย่าลองของกับอะไรไทย ๆ เลยนะครับ



          - หอสกายวิว 

          เรื่องสุดท้ายแล้วครับ อย่างที่เล่าไปตอนต้น ม.กรุงเทพ นี่ผีในมหาวิทยาลัยไม่ค่อยมีครับ แต่ผีตามหอนี่เพียบ และที่ดังสุดนี่ก็คงไม่พ้นผีที่หอสกายวิว เรื่องนี้ผมขอใช้คำว่าตำนานเลยละกันนะครับ เพราะไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า (ตำนานนี้ดังพอตัวครับ เคยเล่าออก The Shock ด้วย) ว่ากันว่าช่วงใกล้ ๆ ถึงวันคริสต์มาส ทางหอก็นำเอาต้นคริสต์มาสใหญ่โตมาประดับตั้งไว้ที่ล็อบบี้ครับ เหตุเกิดเค้าว่าอยู่ที่ชั้น 9 ครับ (ห้อง 926) แฟนคู่หนึ่งเกิดทะเลาะกัน แล้วฝ่ายชายเกิดพลาดตกระเบียงลงมา หัวทิ่มปักเข้ากับต้นคริสต์มาสตายคาที่ (คือหอสกายวิวนี่ทางเดินน่ากลัวครับ ห้องจะเรียงเป็นวงกลมแล้วจะปล่อยเป็นโพรงใหญ่ ๆ ไว้ตรงกลาง เค้าตกลงมาที่โพรงนี้ล่ะครับ)

          เรื่องเล่าต่อมาว่า จากนั้นฝ่ายหญิงที่ยังอยู่ห้องนี่โดนเคาะห้องทุกคืนครับ พอเปิดไปก็ไม่มีใคร จนหลัง ๆ เคาะถี่ขึ้น แรงขึ้น จนมีถึงขั้นจะเปิดประตูเข้ามา ผู้หญิงก็กลัวจนทนไม่ไหวเลยไปหาพระ พระท่านก็บอกว่าเค้าแค้น กลายเป็นอาฆาต เพราะคิดว่าเราไปทำให้เค้าตาย ถ้าเค้ามาอีก ก็ให้โยมลงไปนอนใต้เตียง เค้าจะได้ไม่เห็นโยม

          คืนหนึ่งก็เกิดเรื่องจนได้ครับ เห็นว่ามาแบบออกตัวแรงซะด้วย คือกะเผด็จศึกเลยแหละ เคาะแรงมาก ดังมาก ลูกบิดประตูหมุนปึ้ด ๆ ๆ น้องผู้หญิงคนนี้ก็เห็นท่าไม่ดี เลยลงไปมุดนอนใต้เตียงตามพระบอก แล้วประตูก็ดีดผึงออกมา ! ผู้หญิงก็หลับตาปี๋ครับ ไม่กล้ามอง ก็ได้ยินแต่เสียงลากเท้าดังครืด... ดังครืด... มาเรื่อย ๆ แล้วเสียงก็มาหยุดเงียบลงที่เตียงครับ ฝ่ายหญิงเห็นเงียบไปก็ไม่รู้จะเอาไงต่อ เลยกัดฟังเปิดเปลือกตาขึ้นมา ปรากฏว่าสายตาปะทะเข้ากับใบหน้าเละเทะของผีแฟนเธอเต็มๆครับ (อธิบายคือถ้าตายปกติ เค้าก็คงจะเดินมาแหละครับ แต่คนนี้เค้าตกลงไปหัวทิ่มตาย เค้าเลยใช้หัวเดินแทนเท้าขึ้นมา แทนที่อยู่ใต้เตียงจะไม่เห็น เลยกลายเป็นจ๊ะเอ๋กันเต็ม ๆ)

8. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

          สำหรับที่นี่ ก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าผีดุครับ เหตุเพราะมีเรื่องผี มีเรื่องเล่าเยอะ แต่ยังไม่เคยมีใครประสบพบเจอกับตัวเอง แต่สำหรับตัวผม ขอยกให้มหาวิทยาลัยนี้ตื่นเต้นที่สุดครับ เหตุเพราะมีผู้หญิงคนที่ผมแอบชอบ ร่วมเดินทางมาลองของด้วย (โอ๊ย !!) การมาลองของที่มหาวิทยาลัยนี้ ผมก็ได้ความช่วยเหลือจากชมรมดนตรีลูกทุ่งของที่นี่ครับ ซึ่งได้ส่งน้องโชน นักศึกษาคณะประมงปี 2 มาเป็นผู้นำทาง (น้องโชนนี่พอได้เจอตัว บอกเลยน้องเค้าเหมาะเรียนประมงจริง ๆ ครับ ทั้งรูปร่างและสีผิว คือถ้าเดินลากอวนมาด้วยนี่ก็ออกทะเลได้เลยแหละ)

          - จะมีตึกอยู่ตึกหนึ่งครับ (ขอสงวนชื่อตึกครับ น้องเค้าขอมา)

          ว่ากันว่าเมื่อตอนก่อสร้างดำเนินมาถึงขั้นทาสี ก็ได้มีคนงานเกิดเสียชีวิตลง โดยก่อนเสียเค้าได้ทาสีค้างไว้ยังไม่เสร็จ อาถรรพ์เกิดขึ้นเมื่อคนงานคนที่มาทาสีต่อจากเค้าก็เสียชีวิตลงตามไปเช่นกัน จนเกิดเป็นเรื่องเล่าขานว่าหากใครมาทาสีตรงจุดนี้ จะมีอันเป็นไป ผมได้ไปดูที่เกิดเหตุมาครับ ลักษณะกำแพงเป็นจุดด่าง ๆ ไม่ได้ทาสีจริงอย่างที่ว่า และก็ลองเอาสีไปทาทับมาด้วยครับ ทาไปตั้งแต่ปีที่แล้ว จนถึงวินาทีนี้ผมก็ยังไม่ตายครับ ยังมานั่งพิมพ์เรื่องผีให้ทุกท่านอ่านกันเพลิน ๆ เอาเป็นว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงครับ

          - ตู้โทรศัพท์ข้างตึกวิทย์ฯ 

          ตรงข้างตึกคณะวิทยาศาสตร์จะมีตู้โทรศัพท์แบบหยอดเหรียญอยู่ครับ เค้าเล่ากันว่ามีคนเคยเห็นนักศึกษายืนอยู่ในนั้น แต่นักศึกษาคนดังกล่าวไม่มีหัว

          - Loving Way  

          เรื่องผีแฝงความโรแมนติกแห่งมหาวิทยาลัยนี้ครับ เป็นอีกเรื่องที่หากค้นหาหัวข้อเรื่องผีเกษตรศาสตร์ ทุกเว็บต้องมีเรื่อง เลิฟวิ่ง เวย์ รวมอยู่ด้วย ถนนเส้นนี้เด็กเกษตรฯ ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีครับ เพราะเชื่อว่าหากกลางวันหนุ่มสาวมาปั่นจักรยานซ้อนกัน ดวงชะตาก็จะนำพาให้ได้เป็นแฟนกัน แต่หากมาปั่นกลางคืน โดยคนปั่นกับคนซ้อนนั่งหันหลังชนกัน เค้าว่าคนที่ซ้อนจะเห็นอะไรบางอย่างระหว่างปั่นอยู่ในถนนเส้นนี้ครับ

          - พ.ว. 9 ศพ 

          เรื่องนี้เกิดขึ้นข้าง ๆ รั้วมหาวิทยาลัยครับ หากใครยังจำกันได้ เมื่ออดีตเคยมีข่าวเด็กสาวคนหนึ่งได้ซิ่งรถเก๋งชนเข้ากับรถตู้โดยสารบนทางด่วน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตร่างกระเด็นออกมานอกตัวรถ สภาพศพกระจัดกระจาย
รวมแล้วเสียชีวิตถึง 9 ศพด้วยกัน จากภาพข่าวนี่น่ากลัวมากครับ บางคนนี่ร่างห้อยคาอยู่กับสะพายลอยเป็นที่พรั่นพรึงอย่างยิ่ง


          เรื่องต่อไปนี้ พี่วินมอเตอร์ไซค์ข้างสะพานลอยดังกล่าว เป็นผู้เล่าให้ฟังครับ ว่าช่วงหลังเกิดเหตุใหม่ ๆ นี่เฮี้ยนมาก จะต้องได้ยินเสียงดังกระแทกบนสะพานลอยเวลาเดิม ๆ ทุกวัน (เสียงเหมือนศพตกลงมากระแทกสะพาน) บางคนโดนถึงกับว่า มีผู้โดยสารเรียกให้ไปส่ง พอถึงที่หมายหันกลับมาไม่มีใคร พี่วินแกยังเล่าว่ามีช่วงนึงที่ตกเย็นปั๊บ ไม่มีวินคนไหนกล้าอยู่กันเลยล่ะครับ ขอกลับบ้านไปอยู่กับลูกกับเมียดีกว่า ผมไปดูสะพานที่ว่ามาด้วยครับ เมื่อราว ๆ ปีครึ่งถึง 2 ปีที่แล้ว ตามยอดต้นไม้ติดกับสะพานยังมีสายสิญจน์พันอยู่เลยนะครับ สร้างความกดดันตั้งแต่ยังไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว พอเดินขึ้นไป (เวลาราวเที่ยงคืน) ก็ยอมรับล่ะครับ ว่าจากเรื่องเล่าที่ได้ฟัง จากประวัติที่มีผู้เสียชีวิตตรงนี้จริง ๆ ทำให้ประสาทหลอนเตลิดไปได้เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ถ้าใครเคยเห็นจุดเกิดเหตุจะเข้าใจครับ ว่ามันไม่น่ากลัวแม้แต่น้อย รถข้างล่างนี่วิ่งกันขวักไขว่ตลอด

          แต่ตอนนั้นจะก้าวเท้าได้แต่ละก้าวนี่บอกเลยว่าหนักมากครับ ความกลัวกดทับ ตรงจุดที่มีคนตกลงมาเสียชีวิตห้อยติดกับสะพาน ยังมีดอกไม้มาลัยอยู่เลยนะครับ สภาพยังใหม่ด้วย



          -  อนุสาวรีย์สามบูรพาจารย์ หรือ อนุสาวรีย์สามเสือแห่งเกษตร 

          เป็นอนุสาวรีย์รูปเหมือนของสามบูรพาจารย์ ผู้ริเริ่มสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ครับ เรื่องเล่าบอกว่าทั้งสามท่านนี้ชอบเล่นหมากรุกมาก หากใครนำหมากรุกมาเล่นหน้าอนุสาวรีย์ดังกล่าวนี้ตอนเที่ยงคืน
เค้าว่าหนึ่งในสามท่านนี้จะลงมาเล่นด้วยครับ และต่อจากนี้จะเป็นคิวของน้องโชนแล้วครับ ที่จะพาเราทัวร์คณะประมง ประโยคแรกที่โชนพูดกับผมนี่น่ากลัวกว่าผีอีกครับ โชนหันมาถามผมว่า "พี่เห็นอะไรในตัวผมไหม?" แล้วโชนก็ผายมือออก ตอนนั้นยอมรับความงงกับความกลัวผสมปนเป (คือโชนจะสื่ออะไรรรรรรร ????)

          - ตึกเพาะเลี้ยง คณะประมง 

          โชนบอกว่าที่ตึกนี้มีผีเดินกันพลุกพล่านเลยครับ และจากที่ผมไปเดินสำรวจดูจะมีผีก็ไม่แปลกครับ ตึกเก่ามาก เถาวัลย์นี่ขึ้นตามหน้าต่างกันสร้างบรรยากาศน่าดู โชนบอกว่าถ้าจุดไคลแม็กซ์เลยต้องหน้าต่างชั้น 2 ครับ รุ่นพี่ของโชนบอกว่ามีเวลาเรียน 4 ปี ต้องได้เจอผีตรงนี้เข้าซักวัน

          - นางเงือก 

          ตอนได้ยินครั้งแรกตื่นเต้นมากครับ ผมอยากเจอนางเงือกตัวเป็น ๆ มาทั้งชีวิต ก็ไปที่ตึกประมงตึกใหญ่เลยครับ (ผมไม่รู้ว่าชื่อเต็ม ๆ คืออะไร) โชนบอกว่าห้องน้ำชั้น 3 เคยมีรุ่นพี่คนหนึ่งล้างหน้า อยู่ ๆ ไฟก็ดับ รุ่นพี่คนนี้เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องไปที่สวิตช์ไฟตรงประตู จังหวะที่เอื้อมมือไปจะเปิดสวิตช์นั้นเอง ก็มีมือลื่น ๆ เป็นเมือก มีเกล็ดคล้ายเกล็ดปลามาคว้าหมับเข้าที่มือ ! (เรื่องนี้ผมไปลองมาไม่เจออะไรเลยครับ เสียใจมาก)

          - ตึก SCL 

          เป็นตึกแล็บเคมีครับและน่าจะเป็นตึกที่มีเรื่องเล่าเยอะที่สุดของมหาวิทยาลัยนี้แล้ว ตั้งแต่หากยืนหน้าตึกแล้วมองลอดใต้หว่างขาขึ้นไป จะเห็นคนนั่งห้อยขาอยู่ที่ดาดฟ้าตึก หากไปอ่านหนังสือใต้ตึกตอนดึก ๆ เห็นว่าบ้างก็เจอคนเลือดท่วมเดินผ่าน บ้างก็ว่าจะได้ยินเสียงสวดชินบัญชร (ไอ้เรื่องเสียงสวดชินบัญชรนี่ผมไขคดีได้เรียบร้อยครับ พี่ยามเค้าเฉลยว่า เสียงสวดที่ได้ยินกันน่ะ พวกยามกันเองนี่แหละเป็นคนเปิด แต่จะเปิดเพราะสาเหตุอะไร หรือเปิดให้ใคร ? พี่ยามไม่ยอมบอกครับ ปล่อยเป็นปริศนาดำมืดต่อไป) สำหรับเรื่องตึก SCL มีเรื่องที่ผมไม่เข้าใจอยู่เรื่องเดียวครับ คือเค้าเล่าว่ามีคนเคยเห็นผีแม่บ้านที่ห้องน้ำหญิงชั้น 2 หรือ 3 ไม่แน่ใจ พวกผมก็ลองขึ้นไปกันดูครับ

          เมื่อเข้าห้องน้ำหญิงไปก็พบกับคำเตือนว่า "อันตราย ห้ามเข้าห้องน้ำคนเดียว" เป็นคำเตือนที่ชวนสยองมากครับ ว่าทำไมห้องน้ำถึงต้องห้ามเข้าคนเดียว อีกทั้งยังเป็นห้องน้ำในตัวสถานที่อย่างมหาวิทยาลัยอีกต่างหาก ชวนสงสัยมาจนทุกวันนี้



          - บันไดสำหรับคนอยากเห็นผี

          ที่ตึกบัณฑิตครับ จะมีบันไดด้านข้างตัวตึกอยู่ เค้าว่าถ้าอยากเห็นผีให้เราลองไปนอนที่บันไดนั้น แล้วแหงนหน้า ตั้งจิตแล้วพูดว่า หากวิญญาณมีอยู่จริง ขอให้แสดงอะไรออกมาก็ได้ ไม่ว่าจะมาในรูป รส กลิ่น เสียง แล้วเห็นว่าผีจะโผล่มาให้เห็นครับ
 
          - ศ.ร. 4

          ใต้ตึกศูนย์เรียนรวม 4 จะมีสถาปัตยกรรมอันหนึ่งครับ เกือบ ๆ จะเรียกได้ว่าเตียงละ แต่มันพิสดารกว่านั้น เค้าว่าหากมานอนมานั่งเล่นบริเวณนี้ จะเริ่มได้ยินเสียงเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน ถ้าได้ยินแล้วให้แหงนหน้าขึ้นไป จะเจอกลุ่มผีเด็ก ชะโงกหน้ามาหัวเราะให้เราเต็มไปหมด


9. สถาบันการบินพลเรือน (ฝั่งตรงข้ามสวนจตุจักร)
 
          ก็ตามชื่อนะครับ การเรียนการสอนที่นี่ หลัก ๆ ก็เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการบิน ภายในตัวสถาบันก็ไม่ใหญ่โตมากมายอะไรครับ มีเครื่องบินตั้งโชว์ให้เห็นเป็นระยะ ๆ (ความรู้สึกคล้าย ๆ เดินงานวันเด็กอยู่เหมือนกัน) ที่นี่เค้าจะไม่เรียกเด็กของเค้าว่านักศึกษานะครับ แต่จะเรียกว่า ศูนย์ฝึกฯ คืนที่ผมไป มีโอกาสได้ทันไปเห็นเค้ารับน้องกันพอดีครับ ที่นี่รับน้องกันน่ารักมาก น้องปี 1 จะเดินกลับบ้านกันเป็นแถว สองข้างทางก็จะมีรุ่นพี่คอยตะโกนให้กลับบ้านดี ๆ นะน้อง กลับบ้านปลอดภัยนะน้อง เรียกได้ว่าประทับใจตั้งแต่แรกเห็น สถาบันน่ารัก แต่ผีที่นี่จัดว่าโหดครับ

          - ห้องเรียนกระจก 

          ใครอยากมาลองของที่นี่เค้าจัดไว้ให้อย่างเป็นระเบียบครับ ผีทุกตัวรวมกันอยู่ที่ตึก CM ไม่ต้องกลัวจะเหนื่อย เดินเปลี่ยนไปตึกนั้น มาตึกนี้ ชั้น 2 ตึก CM จะมีห้องเรียนอยู่ห้องหนึ่งครับ จะเป็นห้องที่กระจกเยอะที่สุด พี่บอลรุ่นพี่ศูนย์ฝึกฯ ของที่นี่เล่าให้ฟังว่า เมื่อวันงานกีฬา ทางพวกผู้ชายแข่งเสร็จก็สบายครับ เปลี่ยนเสื้อผ้าตรงไหนก็ได้ แต่ผู้หญิงเค้าก็ต้องหาที่มิดชิดนิดนึง ก็เลยขึ้นมาชั้นสอง กะจะมาเปลี่ยนที่ห้องนี้ พี่บอลเล่าว่าจังหวะที่น้องเค้าเปลี่ยนเสื้อเสร็จ ออกจากห้องมากำลังจะปิดประตู (ประตูเป็นแบบเปิดเข้าข้างใน) ประตูก็ถูกดึงกลับครับ เหมือนกับว่ามีคนดึงสวนไปอีกทาง น้องผู้หญิงคนนี้ก็ตกใจครับ เพราะในห้องไม่มีใครนี่นา แต่พอชะโงกหน้าไปดูกลับตกใจยิ่งกว่าครับ เพราะเธอเจอผู้ชายร่างท้วมยืนจังก้ามองเธออยู่ (จำผีผู้ชายร่างท้วมคนนี้ไว้ดี ๆ นะครับ)

          - ล็อกเกอร์ 

          ความเก๋ของตึก CM คือจะมีตู้ล็อกเกอร์ใว้ให้ศูนย์ฝึกฯ แต่ละคนใช้เก็บของครับ อารมณ์นี้ใครเคยเรียนโรงเรียนประจำน่าจะพอนึกภาพออก แต่ขณะเดียวกันเรื่องผีที่น่ากลัวที่สุด ทุกคนเคารพที่สุด ก็คือเรื่องของล็อกเกอร์ที่ผมกำลังจะเล่านี่ล่ะครับ

          ตู้ล็อกเกอร์อันปัจจุบันนี้จะเป็นตู้ใหม่ครับ เป็นตู้สีเหลือง เหตุผลที่นำมาใช้แทนตู้เก่าไม่มีใครทราบแน่ชัด และตู้เก่าก็ไม่ได้ย้ายไปไหนไกลเลยครับ อยู่ข้างหลังตู้ใหม่นี่เอง ตู้ล็อกเกอร์อันใหม่นี้ เป็นตู้ที่ศูนย์ฝึกฯ ทุกคนใช้กันเป็นเรื่องปกตินะครับ ตู้ใครตู้มัน จะมีจุดที่ไม่ปกติก็คือ บนตู้มีน้ำแดงสำหรับไหว้เพียบเลยครับ ! มีเยอะขนาดเต็มตั้งแต่หัวตู้ไปยันท้ายตู้ แถมด้วยสายสิญจน์พันกันระโยงระยางเลยครับ เห็นครั้งแรกผมสงสัยมากว่าเค้าไหว้อะไรกัน เจ้าที่ที่ไหนมาประจำการอยู่ตู้ล็อกเกอร์ ? จนมารู้ตำนานว่าเคยมีรุ่นพี่ศูนย์ฝึกฯ คนหนึ่ง มอเตอร์ไซค์คว่ำเสียชีวิตระหว่างกำลังมาเรียน แต่จากนั้นเช้า ๆ ก็ยังมีคนเห็นพี่คนนี้เอาเสื้อผ้า เอาของมาเก็บที่ล็อกเกอร์ ยิ่งช่วงตายใหม่ ๆ แม่บ้านเห็นกันจนไม่เป็นอันทำงาน ก็สันนิษฐานว่าน้ำแดงเหล่านี้อาจจะมีไว้เพื่อรุ่นพี่คนนี้นี่เอง (คาดว่านะครับ ที่มาแท้จริงของการไหว้น้ำแดงอาจจะเดือดกว่าเรื่องนี้ก็ได้)

          กลับมาที่เรื่องเล่าของพี่บอลครับ พี่บอลบอกว่าเคยมีเพื่อนเค้าคนนึง ก็เมา ๆ มาล่ะครับ ขึ้นมาก็ท้าทายตามประสาคนเมาเต็มที่ เดินไปหยิบเอาน้ำแดงบนตู้มาดื่ม เพื่อนก็ถามรสชาติเป็นไง ไอ้คนดื่มก็บอก "จืดว่ะ" พอสิ้นเสียงจืดว่ะเท่านั้นแหละ พี่บอลบอกมันลงไปนอนดิ้นเลย 
          
          เรื่องของตู้ล็อกเกอร์ยังไม่จบครับ แต่อันนี้เป็นเรื่องของตู้เก่าที่อยู่ด้านหลัง ตู้เก่านี่สภาพน่ากลัวมากครับ ตู้สีเทาดั้งเดิม สนิมเกรอะกรัง คือเอาไปเข้าฉากในหนังผีได้เลยอะ พี่บอลเล่าว่าเคยมีผู้หญิงคนนึง ก็ขึ้นมาเก็บของที่ล็อกเกอร์ของเขา ก็เปิดล็อกเกอร์ (นึกภาพตามนะครับ เปิดฝาตู้ล็อกเกอร์ บานฝาตู้ก็เปิดออกทางขวา ทีนี้เราจะไม่เห็นอะไรทางขวาของเราละ เพราะฝาล็อกเกอร์มันบัง) ก็เก็บของไปตามเรื่องครับ ไอ้จังหวะปิดล็อกเกอร์นี่แหละ ที่ปิดปั๊บหันขวาไปเจอผู้หญิงยืนอยู่ ยืนเฉย ๆ ก้มหน้า ไว้เล็บยาวสีแดง... (จำผู้หญิงเล็บแดงคนนี้ไว้นะครับ)

          เรื่องต่อมานี่เกิดต่อเนื่องมาจากวีรกรรมของพวกเราครับ เราไปลองของที่ตู้ล็อกเกอร์นี้มา (ขอไม่เล่านะครับว่าทำอะไรไปบ้าง เดี๋ยวจะโดนเด็กศูนย์ฝึกฯ ที่นี่ไม่พอใจเอา) ลองเสร็จก็ลงจากตึกครับ พอลงมาก็มีรุ่นน้องของพี่บอลทัก ว่ามีผู้หญิงตามพวกเราจากบนตึกลงมา ผมก็ถามว่าผู้หญิงคนไหน ขึ้นไปกันแต่ผู้ชาย น้องมันบอกเค้าเป็นผู้หญิงคนที่พี่พูดถึงบนตึก ซึ่งบนตึก ผู้หญิงที่พวกผมพูดถึงมีแค่คนเดียวเลยครับ คือผู้หญิงเล็บแดงในเรื่องเล่า !!! ผมก็ถามต่อเลยครับ ว่าตอนนี้ผู้หญิงที่ว่าเค้ายังอยู่รึเปล่า น้องก็บอก เค้าขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้ว มาถึงขนาดนี้จากที่กำลังจะกลับพวกผมก็เลยจะขึ้นตึก CM ไปอีกรอบครับ ขึ้นไปดาดฟ้า ขาขึ้นรอบสองนี่กลัวเหมือนกันนะครับ เพราะจำได้ว่าเวลาดูหนังจะโดนผีหลอกส่วนใหญ่ก็รอบสองแบบที่กำลังทำนี่แหละ

          ก่อนอื่นขอเล่าเกี่ยวกับดาดฟ้านิดนึงครับ ก็เป็นเรื่องผีโดดตึกทั่วไปครับ แต่ที่ต่างไปจากมหาวิทยาลัยอื่นคือผีที่นี่มันโดดทุกจุดครับ จะระเบียง จะหน้าต่าง ดาดฟ้าเคยมีคนเห็นมาหมดแล้ว แต่จุดที่เห็นบ่อยสุดจะเป็นดาดฟ้าที่เรากำลังขึ้นไป และรูปร่างของผีโดดตึกตัวที่ว่านี้ เค้าว่าเป็นผู้หญิงผมยาวยืนก้มหน้าก่อนโดดครับ

          ตอนที่ขึ้นไปถึงชั้น 2 กลุ่มน้อง ๆ พี่บอลก็ขออ้อมไปอีกทางครับ ไม่กล้าเดินผ่านตู้ล็อกเกอร์ ก็อ้อมไปเจอพวกผมอีกฝั่ง พอขึ้นมาเจอกันปุ๊บ ผมก็ถามเดินอ้อมทำไม กลัวขนาดนั้นเลยหรอ น้องมันบอกไม่กล้าเดินผ่านตู้ เค้ายืนจ้องอยู่ ผมก็ตกใจครับ อะไรจะเฮี้ยนขนาดนั้น ก็ถามเค้ายืนตรงไหนนะ ? น้องบอกตรงที่ผมเดินผ่านตู้มาเมื่อกี้ แถมผมยังเดินทะลุตัวเค้ามาด้วย ก็ถามว่ารูปร่างเป็นยังไง ชายหรือหญิง น้องมันบอกเป็นผู้ชายร่างท้วม (ยังจำผู้ชายร่างท้วมตอนต้นเรื่องได้ไหมครับ) พอถึงตรงนี้ผมก็เลยเล่าครับ ว่าไปทำอะไรตรงล็อกเกอร์ไว้บ้าง ทีนี้พวกน้องกลุ่มนี้ยิ่งกลัวหนัก น้องคนนึงที่ดูท่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก็บิวท์ใหญ่เลยทีนี้ ทั้งเตือน ทั้งห้าม ว่าอย่าขึ้นไปดาดฟ้าเลย บิวท์จนพวกผมเองหลายคนก็ชักเริ่มกลัว

          นี่คือคำพูดของน้องคนนี้ที่เตือนพวกผมครับ (ถ้าถามว่าทำไมจำได้เป๊ะขนาดนี้ คือพวกผมถ่ายวิดีโอกันไว้ด้วยน่ะครับ) "ที่ตรงนี้ ไม่มีใครกล้าท้า ไม่มีใครกล้ายุ่ง คนที่ตายเค้ามีตัวตนจริง ๆ คนที่เล่าก็เป็นอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือ พวกคุณไปดื่มน้ำของเค้า ผมไม่รู้หรอกนะว่าคิดอะไรอยู่ พวกผมอยู่ที่นี่กันทุกวัน มีโอกาสทำมากกว่าพวกคุณอีก ผมยังไม่กล้าทำเลย คือมันเกินลิมิตอ่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเล่นกันแล้ว" แต่สุดท้าย พวกผมก็ตัดสินใจขึ้นไปดาดฟ้าต่อครับ โดยเหลือกันแค่พวกตัวเอง 4 คนเท่านั้น น้องที่เหลือถอยลงตึกไปหมดแล้ว

          จากตรงนี้ผมไม่สามารถเล่าต่อได้แล้วครับ ขอโทษจากใจจริง ๆ เลย เพราะด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง คำสัญญาหลาย ๆ อัน ที่ให้ไว้กับเด็กศูนย์ฝึกฯ ของสถาบันนี้ คำสัญญาว่าจะไม่เอาไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด ว่าข้างบนดาดฟ้าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เอาเป็นว่าจากเรื่องเล่าทั้งหมด ก็สรุปได้ว่าเรื่องผีของที่นี่น่าจะเกิดมาจากผีแค่ 2 ตัวเท่านั้นครับ คือผีร่างท้วมกับผีสาวเล็บแดง ที่คงสามารถแยกตัวไปจุดนั้นจุดนี้ได้ จนเรื่องผีมันเพิ่มขึ้นมานั่นเอง 
 
10. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  (มอ.หาดใหญ่) 

          มอ.หาดใหญ่นี่ นอกจากจะเป็นมหาวิทยาลัยแล้ว ยังเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดอีกด้วยนะครับ (เช่นกันครับ ที่นี่คือโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้) เพราะงั้นเรื่องคนเจ็บคนตายนี่หายห่วง มีมาให้เห็นกันทุกวัน 
 
          - ด้ายแดง

          เริ่มกันที่ ตึก MNL ครับ เป็นตึกสำหรับวิชากายวิภาคศาสตร์ ก็แปลว่าเป็นตึกที่ใช้เก็บรักษาร่างของอาจารย์ใหญ่นั่นเอง (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาคครับ ใช้ทำการผ่า ทำการศึกษาผ่านร่างกายจริง นักศึกษาจึงเรียกร่างเหล่านี้ว่าอาจารย์ใหญ่ ในฐานที่อุทิศร่างกายให้พวกเค้าได้เรียนรู้ ว่ากันว่าใครที่บริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่นี่จะได้บุญน่าดู) สำหรับตำนานของตึกนี้เค้าก็เล่ากันมาว่า...
 
          เคยมีนักศึกษาปี 1 ครับ ก็มาเรียนที่ตึกเป็นวันแรก ไปถามยามว่าลิฟต์อยู่ทางไหน ยามก็บอกทางไปตามปกติ ก่อนจากนักศึกษาคนนั้นสังเกตเห็นว่า ที่ข้อมือของยามคนนี้ มีด้ายสีแดงผูกอยู่ เป้าหมายของนักศึกษาคนนี้อยู่ที่ชั้น 5 ครับ ก็กดลิฟต์เปิดเข้าไป กดชั้น 5 แต่ลิฟต์กลับไปเปิดที่ชั้น 2 (ชั้น 2 จะเป็นชั้นที่ใช้เก็บร่างอาจารย์ใหญ่ครับ ซึ่งตอนนั้นไอ้น้องคนนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะไม่รู้เรื่อง มาเสียวแทบช็อกเอาตอนรู้ทีหลัง ว่าทำไมลิฟต์ถึงได้จอดชั้นนั้น) เรียนเสร็จลงมาก็ไม่เจอยามคนนั้นแล้วครับ และก็ไม่เคยได้เจอแกอีกเลยไม่ว่าจะกลับไปเรียนที่ตึกอีกกี่ครั้ง จนในที่สุด ก็ได้มารู้ความจริงจากปากรุ่นพี่ว่า ที่ตึก MNL ไม่เคยมียามประจำการอยู่ (!?) ก็งงสิครับ แล้วยามคนที่เค้าเห็นคืออะไร ก็เลยเล่าให้รุ่นพี่ฟัง จนมาได้รู้ความจริงว่า การผูกด้ายสีแดงที่ข้อมือน่ะ คนเป็นจะไม่ผูกกัน ด้ายแดงจะใช้สำหรับผูกข้อมืออาจารย์ใหญ่ (ผมได้ไปสถานที่จริงมาด้วยนะครับ กลางคืนเข้าไม่ได้ เลยต้องกลับไปอีกทีตอนกลางวัน ไปเดินชั้น 2 มา รอบๆสองข้างทางก็แบ่งเป็นห้อง ๆ ล่ะครับ แอบเห็นห้องปฏิบัติการแวบนึงด้วย (ห้องผ่า) บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบแบบพิลึก ๆ ชวนวังเวงโดยไม่มีเหตุผล)
 
          - ตึกฟักทอง

          มากันที่ภาคเคมีของคณะวิทยาศาสตร์ครับ ที่นี่จะมีตึกที่เปรียบเป็นดั่งสัญลักษณ์ ของมหาลัย คือตึกฟักทอง (ตามชื่อเลยครับ ตึกจะมีรูปร่างเป็นฟักทอง) ตึกฟักทองนี่มีตำนานด้วยนะครับ เห็นว่าถ้าเด็ก ม.6 เตรียมเอนท์มาเดินนับกลีบ เค้าว่าจะเอนท์ไม่ติด ขณะเดียวกันถ้าเป็นนักศึกษาของมหาลัย มาเดินนับกลีบก็จะเรียนไม่จบ ห้องหับใต้ตึกฟักทองจะเรียกเป็น L1-L5 ทั้ง 5 ห้องนี้จะมีม่านเป็นสีน้ำเงินหมดครับ แต่จะมีเพียงห้องเดียวที่มีม่านเป็นสีดำ ว่ากันว่าเคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยเสียชีวิตลงที่ห้องนั้น ทางคณะก็เลยไว้อาลัยให้ ด้วยเปลี่ยนม่านเป็นสีดำ (ใครเรียนอยู่ที่นั่น ว่าง ๆ ลองไปเดินสำรวจดูนะครับ ผมไปมาละ มีห้องหนึ่งม่านสีต่างจากห้องอื่นจริง ๆ) ใต้ตึกฟักทองนี่ก็ตำนานเยอะพอตัวเลยครับ ทั้งว่าหากไปอ่านหนังสือวิชาเคมีตอนดึก ๆ แล้วจะมีวิญญาณอาจารย์วิชาเคมีที่เสียไป มาสอนพร้อมสมุดปกสีแดง (ตอนไปนี่เจอคนนึงครับ เล่าให้ฟังว่าเคยนั่งอ่านหนังสือดึก ๆ แล้วเห็นควันลอยออกมาจากเสาไม้)
 
          - ควนมดแดง

          คำ ว่าควน สำหรับคนใต้ก็หมายถึงเนินเตี้ย ๆ ครับ ที่ตึกวิศวะจะมีถนนเส้นเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง มุ่งไปยังเนินที่เรียกว่า "ควนมดแดง" ระหว่างถนนสองข้างทางก็ป่ารกทึบล่ะครับ มาตอนกลางคืนมองไปไม่เห็นอะไรเลย ตำนานที่ควนมดแดงนี่น่ากลัวนะครับ ฟังแล้วไม่กล้าไปลองคนเดียวเหมือนกันจ๊ะ นักศึกษาที่ มอ. เล่าให้ฟังครับ ว่าเคยมีรุ่นพี่กลับจากเตะบอลตอนดึก ๆ ก็เดินขึ้นควนมดแดงมา ระหว่างทางก็เป็นป่ามืด ๆ ครับ จะมีแสงไฟก็เพียงจากเสาไฟฟ้า ที่ต้นหนึ่งทิ้งห่างกันพอสมควร และก็ที่เสาไฟต้นที่ 3 นี่ละครับ ที่พี่เค้าเห็นนักศึกษาผู้หญิงคนนึงกวักมือเรียกให้ไปหา พอเดินเข้าไปผู้หญิงคนนี้ก็เงยหน้าที่มีเลือดโชก แล้วก็หายไป
 
          คนเก่าคนแก่เล่าให้ฟังครับ ว่าผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นนักศึกษาที่ถูกคนงานฆ่าข่มขืนสมัยที่สร้างตึกวิศวะฯ ขึ้นมานั่นเอง พวกผมได้ไปลองเดินที่ควนมดแดงที่ว่านี้ด้วยนะครับ ซึ่งสถานที่จริงเปลี่ยวโคตร น้องสาวผมคนนึงก็ได้ไปลองยืนที่เสาไฟต้นที่ 3 มาครับ ไปยืนแล้วก็โบกมือเลียนแบบตามตำนาน ก็ไม่พบอะไรครับ แต่ระหว่างโบกได้ยินเสียงวี้ดแหลมสูงเป็นระยะ ทั้ง ๆ ที่ก่อนไปยืนที่เสาไม่มีเสียงอะไรเลยก็แปลก ๆ นะครับ


 

 
          ก่อนจะไปถึงเรื่องสุดท้ายผมขอทิ้งไว้ เรื่องครับ ด้วยความที่ มอ. หาดใหญ่มีโรงพยาบาลอยู่ในตัว ก็เลยจะมีเรื่องผีพยาบาล ผีคุณหมอ ผีคนไข้อะไรมากมายครับ ซึ่งหลาย ๆ เรื่องก็สมจริงบ้าง เหนือจริงบ้าง และวิธีที่เค้าว่าถ้าอยากเห็นผีเหล่านี้ ก็ให้ไปตามตึกต่าง ๆ และมองลอดหว่างขาไปที่ดาดฟ้า ถ้าดวงดีจริง ๆ เค้าว่าผีสาวพยาบาลชุดขาวทั้งหลาย จะมีน้ำใจโผล่มาให้เห็นครับ มาถึงเรื่องสุดท้ายแล้วนะครับ ผมว่าตำนานเรื่องนี้ ทุกคนน่าจะเคยมีโอกาสได้ยินกันมาบ้างสักครั้งในชีวิต มาหาดใหญ่ครั้งนี้ผมประทับใจ หลายอย่างครับ ทั้งโรตีทิชชู ทั้งไก่ทอดหาดใหญ่ต้นตำรับ ทั้งร้านน้ำชาที่อลังการมาก แต่ที่ประทับใจที่สุด ก็คือการที่ได้มาลองของกับโคตรผีในตำนานของไทย คุณยายสปีดครับ
 
          ยายสปีดนี่ไปจังหวัดไหน จังหวัดนั้นต้องอ้างว่าจังหวัดตัวเองมียายสปีดครับ แต่ของแท้และดั้งเดิมต้องที่นี่ครับ หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่นี่มีซอย ๆ หนึ่ง ชื่อซอยว่า ซอยคุณยายสปีดครับ ไปไล่สัมภาษณ์มาหลายคน ทุกคนตอบเหมือนกัน ว่าตั้งแต่จำความได้ ก็รู้จักคุณยายสปีดแล้ว เรื่องเล่าเกี่ยวกับวีรกรรมของยายคนนี้แกเยอะมากครับ ทั้งยายเค้าไม่ชอบเสียงท่อเสียงดัง ๆ ยายไม่ชอบเด็กแว้น เข้าซอยยายห้ามขี่เกิน 40 เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเคยบอกไว้ว่า ก็มีเด็กแว้นมาเทสต์รถกัน ก็หมอบมาเลย 120 หันหลังไปมองเห็นคุณยายไล่ตามมาติด ๆ ล้อเลย แต่ยายไม่ได้วิ่งมาครับ ยายคลานมาเพราะยายแกมีแต่ตัว ไม่มีช่วงล่าง (เห็นว่ายายตายเพราะโดนรถมอเตอร์ไซค์ชนจนตัวขาดครึ่ง) ด้วยเหตุที่เล่ามานี้ล่ะครับ แกจึงถูกเรียกว่า คุณยายสปีด
 
          ซอยยายสปีดนี้ จะเป็นซอยเล็ก ๆ ครับ และในซอยนี่ถนนเรียบมาก เป็นทางยาวตรง เหมาะแก่การนำรถมาแข่งกันอย่างยิ่ง ในซอยนี่ก็บอกเลยว่าสยองมาก จากต้นซอยเราจะพบกับวัดถาวรครับ ซึ่งส่วนของป่าช้าจะติดกับริมถนนพอดี ทั้งโกศ ทั้งกูโบร์นี่เพียบ เลยมาหน่อยจะเป็นวัดจีน ถัดจากวัดจีนก็จะเป็นจุดที่เค้านำศาลมาทิ้งกัน (ตรงนี้กลางคืนนี่โคตรหลอนครับ ทั้งศาลไทย ศาลจีน ตุ๊กตา กุมาร ของไหว้ โอยยย) ตำนานยายสปีดนี้แม้จะมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ แต่ก็ไม่มีใครรู้ที่มาที่ชัดเจนครับ ว่ายายแกเป็นใคร เห็นรู้แต่ว่าแกตายขณะจะเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม (ตอนนี้เป็นโลตัสแล้ว) แล้วยายโดนมอเตอร์ไซค์ที่แข่งกันมาชนเอา



 
          สำหรับผมเองถ้าเป็นเรื่องเล่าที่มีมูลมาขนาดนี้ เล่ากันมาแต่โบราณขนาดนี้ มีสิทธิ์สูงที่เป็นเรื่องจริงครับ คล้าย ๆ เรื่องศาลที่ลาดกระบัง ที่ไม่มีใครรู้ที่มาชัดเจน แต่เล่ากันมานาน ขนาดตำรวจรุ่นเก๋ายังเคยได้ยิน 

11. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง

          สถานที่นี้เล่ากันว่า (เป็นตำนานนะครับ จริง ๆ อาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้) ได้รับบริจาคมาจากท่านเจ้าคุณ แล้วท่านเจ้าคุณเนี่ย เมื่อท่านปราบขุนโจรต่าง ๆ ได้ ท่านจะจับวิญญาณพวกมันเอาไว้ผูกติดกับที่ ไว้ให้ปกปักรักษา บางคนก็เลยเชื่อว่าที่ดินตรงนี้ มีผีเก่าผีแก่อยู่มากมายครับ เป็นผีที่อาฆาตแค้นเสียด้วย

          - ศาลในห้องน้ำ

          ศาลที่ว่านี้เดิมตั้งไว้ที่คณะวิศวะฯ ตึกเอ ชั้น 5 ครับ เห็นว่ากันว่าเคยมีสาวคณะสถาปัตย์ อกหักจากหนุ่มคณะวิศวะฯ แล้วเธอก็ได้มาผูกคอฆ่าตัวตายในห้องน้ำชั้น 5 ตึกนี้ และศาลดังกล่าว ก็ตั้งขึ้นเพื่อให้วิญญาณของเธอสงบครับ ห้องที่เธอใช้เข้าไปผูกคอตายนั้น เป็นห้องที่ใช้เก็บของสำหรับแม่บ้านในห้องน้ำครับ เห็นว่าทุกวันนี้ล็อกปิดตายไปเรียบร้อย (จริงเท็จยังไงไม่ขอฟันธงครับ แต่คืนที่ผมไป ห้องที่ว่านี้เค้าก็ล็อกไว้เช่นกัน) ตำนานของศาลในห้องน้ำนี่ก็มาก มายครับ เอาง่าย ๆ ลองคิดตามดู ว่าถ้ามีศาลตั้งไว้ในห้องน้ำ คุณกล้าเข้าไปไหม? ผมคนนึงล่ะครับ ไม่เอาแน่ ๆ ที่ดัง ๆ ก็มีเห็นนางรำ รำออกมาจากในศาล หรือไม่ก็ถ้าไปส่องกระจกในห้องน้ำห้องนี้ก็จะเห็นผู้หญิงคนที่เค้าผูกคอตาย
 
          เพื่อนผมคนหนึ่งทันช่วงที่ศาลยังอยู่บนห้องน้ำด้วยนะครับ มันเล่าให้ฟังว่าเมื่อตอนที่ไปสอบที่ ม.ลาดกระบัง อยู่ในห้องสอบก็ปวดฉี่ แต่ยังสอบไม่เสร็จก็เลยอั้นไว้ สอบเสร็จก็วิ่งมาเข้าห้องน้ำไม่มองอะไรรอบ ๆ ทั้งนั้น พอเสร็จธุระหันกลับมาเท่านั้นแหละ อื้อหือ... เจอศาลเข้าเต็ม ๆ ไอ้เพื่อนผมก็หันไปมองตาผู้ชายอีกคนที่เข้าห้องน้ำมาด้วยกันครับ มองเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรแบบต่างคนต่างเข้าใจ แล้วก็ค่อย ๆ เดินออกไปจากห้องน้ำแบบสงบ (มันมาเล่าให้ฟังทีหลังครับ ว่าตอนเห็นศาลนี่ฉี่เกือบเล็ดออกมาอีกรอบ)
 
          ตำนานที่มาของศาลในห้องน้ำนี่มีอีกทฤษฎีนึงนะครับ นั่นก็คือเค้าว่าจริง ๆ ห้องน้ำห้องนี้ไม่เคยมีใครตายทั้งสิ้น ศาลที่เกิดขึ้นนั้นเค้าตั้งขึ้นมาเพราะตอนที่สร้างตึกวิศวะในห้องน้ำมีเสาตกน้ำมัน ข้อมูลตรงนี้ได้ถูกสนับสนุนโดยศิษย์เก่าท่านหนึ่งครับ เป็นรุ่นพี่รุ่นแรกที่ได้เรียนที่ ตึกวิศวะฯ หลังสร้างเสร็จ (ถ้าจะมีใครข้อมูลชัวร์สุด ก็คงคนนี้ล่ะครับ) เค้าเล่าให้ฟังว่า ตอนแรกก็เป็นเสาตกน้ำมันธรรมดา ๆ นี่ล่ะ ซึ่งเมื่อมีเสาตกน้ำมันก็เป็นธรรมดาที่พวกแม่บ้านเค้าจะไปขูดหวยขอเลข พอถูกหวยหนัก ๆ เข้า ก็เลยสร้างศาลให้ตอบแทนเค้านั่นเอง
 
          ตอนนี้ศาลดังกล่าวย้ายลงมาที่ชั้น 5 แล้วนะครับ เป็นศาลปูนใหญ่โต ชื่อศาลว่า "ศาลเจ้าแม่ศรีแพรทอง" อยู่ด้านหลังตึกวิศวะตึกเอนี่เอง ใครผ่านไปผ่านมาแวะไปสักการะกันได้ครับ
 
          เรื่องราวดูเหมือนจะคลี่คลายนะครับ สำหรับตำนานศาลในห้องน้ำ ถ้าไม่มีบันทึกเมื่อ 40 ปีที่แล้วจาก สน. จระเข้น้อย ...ดาบตำรวจบุญเที่ยง สนธิ เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำ สน. จระเข้น้อย เล่าให้ฟังครับ ว่าเมื่อ 40 ปีก่อนนู้น ทั้งตำรวจ ทั้งอาจารย์ ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเคยมีนักศึกษาสาวผูกคอฆ่าตัวตายจริง เพียงแต่ไม่มีข้อมูลบันทึกไว้ว่าเธอเป็นใคร เพราะข้อมูลได้หายสาบสูญไปอย่างไม่ ทราบสาเหตุ ดาบตำรวจบุญเที่ยง สนธิ แกทิ้งท้ายไว้น่าฟังครับ ว่า "ถ้าเรื่องมันไม่มีส่วนจริง เค้าจะเล่ากันมาทำไมตั้งนาน" ก็ยังคงเป็นปริศนาดำมืดต่อไปครับ สำหรับเรื่องผีโคตรตำนานมหาวิทยาลัยไทย ศาลในห้องน้ำ




          - ห้องน้ำที่สตูดิโอ ตึกสถาปัตย์

          ที่มหาลัยนี้ผีในห้องน้ำดุครับ นอกจากวิศวะฯ แล้ว ห้องน้ำสถาปัตย์ก็ใช่ย่อย ห้องน้ำที่สตูดิโอ ตึกสถาปัตย์ เห็นว่าเคยมีนักศึกษาสาวต่างคณะคนหนึ่งไปประแป้งส่องกระจก ก็พูดกับเพื่อนว่า กระจกห้องน้ำห้องนี้ส่องแล้วสวยเนาะ ปัญหาคือห้องน้ำห้องนั้นมันไม่มีกระจกครับ เรื่องนี้น้องสาวสนิทผมคนหนึ่งยืนยันครับ เพราะเธอเจอมากับตัวว่าเห็นกระจกในห้องน้ำห้องที่ว่าจริง ๆ จนเพื่อนทักก็เลยกลับไปดูอีกที ซึ่งพอกลับไป ก็ไม่พบกระจกใด ๆ ในห้องน้ำแล้ว (หลาย ๆ คนก็ยังสงสัยครับ ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ติดกระจก)
 
          - ตึกทรงไทย สถาปัตย์

          เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่ามากแล้วครับ คือมันจะมีทางเดินเส้นหนึ่งครับ เชื่อมระหว่างตึกสถาปัตย์ไปยังตึกทรงไทย เป็นทางเดินตรงยาว มีซุ้มหลังคา เรื่องนี้เห็นว่ามีคนพบเจอกันเยอะมากครับ เล่าว่าตอนกลางคืนเด็กทำงานกันเสร็จก็เดินจะกลับหอ พอเดินมาถึงบริเวณทางเดินอันนี้ มีหลายคนเลยครับบอกว่าพบผู้หญิงในชุดรำไทยเต็มยศ ยืนขวางทางเดินอยู่ แล้วพอเราอึ้งได้ซักพัก ผู้หญิงคนนี้เค้าจะรำ ไม่ได้แค่รำอย่างเดียวนะครับ ระหว่างที่รำ เท้าของเธอจะลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ รำไปลอยไป จนศีรษะของเธอติดหลังคา เธอก็ยังไม่ยอมหยุดลอยครับ ยังคงรำไปลอยต่อไปเรื่อย ๆ จนคอเธอหักคาหลังคา
 
          รื่องนี้เห็นว่าแต่ก่อนนี่โดนกันเยอะจริงๆครับ จนทางมหาลัยต้องนำเอาหลังคาที่ว่านั้นออกไป (เหมือนกับหลังคาตรงนี้น่าจะไปสร้างทับที่เค้า) ผมไปดูทางเดินตรงนี้มาเล่นเอาขนลุกเลยครับ เพราะเจอตอคล้าย ๆ เสาเชื่อมหลังคาเป็นจุด ๆ หลายอัน สรุปหลังคาเคยมีครับ แล้วโดนตัดออกไปนี่ผมยืนยันเลยว่าเรื่องจริง แต่จะโดนตัดออกไปเพราะอะไร ตรงนี้ไม่ทราบครับ...
 
          ตอนที่อยู่ที่ตึกทรงไทย ข้าง ๆ กันก็มีชมรมซ้อมดนตรีไทยกันอยู่ครับ (ตอนแรกก็หลอนแหละ ได้ยินเสียงดนตรีไทยนึกว่าโดนแล้ว) จนขากลับมาคุยกับคุณฟิล์มเพื่อนผม มันบอกร้องเอื้อนได้น่ากลัวเป็นบ้า ผมก็เหวอสิครับ เพราะไอ้เสียงดนตรีไทยที่ได้ยินกันตั้งหลายคนน่ะ มันไม่มีเสียงเอื้อนอะไรเลยนะเว้ยยย ก็กลับไปถามทันทีครับ ว่าที่พี่ ๆ เค้าเล่นดนตรีกันอยู่มันมีท่อนเอื้อนด้วยรึเปล่า คำตอบคือไม่มีครับ (แล้วที่ฟิล์มได้ยินมันคืออะไรรรรร !!??) ฟิล์มเล่าว่า เป็นเสียงเอื้อนตามเพลงของผู้หญิงครับ เอื้อนได้เหงาจับจิตเลย
 
          สำหรับเรื่องสุดท้ายที่ได้ยินมา ผมว่าเพ้อเจ้อไปหน่อยครับ 55555 ที่ห้องเคมี 1 ตึกวิทย์เก่า ว่ากันว่าเคยมีนักศึกษาทำแล็บ แล้วพลาดเกิดระเบิดขึ้น จากนั้นวันดีคืนดีพี่ยามจะเห็นภาพหลอน เหมือนห้องแล็บนั้นระเบิดแสงวาบขึ้นมา เสียงดังสนั่น แต่พอมองอีกทีก็ไม่มีอะไรปกติ



 




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เรื่องเล่าขนหัวลุก ผีในมหาลัย 11 แห่ง กับตำนานเฮี้ยน ๆ อัปเดตล่าสุด 19 พฤศจิกายน 2562 เวลา 14:10:55 971,409 อ่าน
TOP