กลุ่มดาวดิน โต้ข่าวถูกจ้างหัวละ 5 หมื่น ชู 3 นิ้ว ต้านนายกฯ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก ต้านรัฐประหาร

          นักศึกษากลุ่มดาวดิน โต้ข่าวแม่ทัพภาค 1 ระบุถูกจ้างหัวละ 50,000 บาท ชู 3 นิ้วต้าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ขอนแก่น ย้ำออกมาเคลื่อนไหวเพื่อสังคม

          วันที่ 1 ธันวาคม 2557 พล.ท. กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) ออกมาเปิดเผยว่า กลุ่มนักศึกษา ม.ขอนแก่น 5 คน หรือที่รู้จักกันในชื่อ กลุ่มดาวดิน ที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขณะลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ด้วยการออกมาชู 3 นิ้วต่อหน้า พล.อ. ประยุทธ์ ถูกว่าจ้างมา 50,000 บาท จากนักการเมืองในพื้นที่ เพื่อต้องการแย่งชิงพื้นที่สื่อของนายกรัฐมนตรี นั้น

          ล่าสุด เมื่อเวลา 14.00 น. กลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม (ดาวดิน) ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดส่งถึง นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยเนื้อหาระบุว่า...

          ด้วยปรากฏตามข่าวว่า พล.ท. กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) ให้สัมภาษณ์ปรักปรำกล่าวหาว่าถูกว่าถูกจ้างมาเพื่อต้องการแย่งชิงพื้นที่สื่อ ของนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการว่าจ้างมาจำนวน 50,000 บาท จากนักการเมืองในพื้นที่นั้น อยากจะให้กรรมการสิทธิมนุษยชนตรวจสอบและพิจารณาเรื่องนี้โดยด่วน

          ขณะที่ น.ส.ศศิประภา ไร่สงวน หนึ่งในนักศึกษากลุ่มดาวดิน คณะนิติศาสตร์ ม.ขอนแก่น กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่านักศึกษากลุ่มดาวดินไม่ได้รับจ้างเคลื่อนไหวต่อต้าน พล.อ. ประยุทธ์ ตามที่แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวหา เพราะที่ผ่านมาก่อนจะมีการเคลื่อนไหวทุก ๆ ครั้ง กลุ่มดาวดินทั้งหมดต้องมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือกันก่อน จะไม่มีการตัดสินใจกันเพียงลำพังคนใดคนหนึ่ง และกรณีการออกไปเคลื่อนไหวชู 3 นิ้วต้าน พล.อ. ประยุทธ์ ขณะลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น ก็มีการปรึกษากันแล้วว่า ต้องการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและไม่ต้องการเผด็จการ รวมทั้งไม่ต้องการให้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกและทำรัฐประหาร

          และที่ผ่านมากลุ่มดาวดินเดินหน้าทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนในเรื่องกฎหมายมาโดยตลอด หากพบว่าชาวบ้านมีความเดือดร้อน กลุ่มดาวดินก็จะเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่เคยรับเงิน ดังนั้น กรณีที่แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวหาว่า กลุ่มดาวดินรับเงินจากนักการเมือง เพื่อออกมาเคลื่อนไหวชู 3 นิ้วต้าน พล.อ. ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมาจึงไม่เป็นความจริง

          น.ส.ศศิประภา กล่าวต่อว่า ตนก็ไม่ทราบว่า ท่านแม่ทัพภาค 1 ไปได้ข่าวแบบนี้มาจากไหน และการที่ท่านแม่ทัพภาค 1 ออกมาให้ข่าวแบบนี้ ตนก็อยากถามท่านว่ามีเจตนาคุกคามเราอยู่หรือไม่ เพราะข่าวสารที่ท่านบอกออกไปนั้น จะทำให้ประชาชนทั่วไปมองว่า นักศึกษากลุ่มดาวดินเป็นลูกน้องนักการเมือง ทั้ง ๆ ที่จริงนักศึกษากลุ่มดาวดินเคลื่อนไหวเพื่อสังคมมาตลอด ตนจึงอยากขอร้องไม่ให้มีการกล่าวหาลอย ๆ ในลักษณะนี้อีก และที่ผ่านมาหลังการออกไปเคลื่อนไหวชู 3 นิ้วต้านรัฐประหาร เพื่อน ๆ ในกลุ่มดาวดินที่ไม่ได้ออกไปชู 3 นิ้ว ก็ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย เพราะมีทหารมาสังเกตการณ์ และมีการขับรถมาดูตามบ้านพักของกลุ่มดาวดินอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ตอนนี้ไม่มีใครกล้าอยู่บ้าน ซึ่งการกระทำลักษณะนี้ไม่ต่างจากผู้ใหญ่คุกคามเด็ก

          สำหรับกระแสข่าวที่ว่า มีน้อง ๆ ในคณะมาให้กำลังใจและแสดงความไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกของกลุ่มดาวดินนั้น ตนว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกคนสามารถเห็นต่างกันได้ ดังนั้นเราจึงควรเคารพความเห็นของทุก ๆ คน ส่วนกรณีที่นักศึกษาดาวดินไปขึ้นเวทีรับรางวัลของมูลนิธิอิศรา อมันตกูล นั้น ตนขอชี้แจงว่า รางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลของไทยพีบีเอส ที่มาทำเรื่องเด็กดาวดิน จนสกู๊ปชิ้นนั้นได้รับรางวัลจากยูนิเซฟ ทางไทยพีบีเอสเลยมาเชิญกลุ่มดาวดินให้ไปขึ้นเวทีเพื่อรับรางวัลด้วยเท่านั้นเอง

          นอกจากนี้ มีรายงานว่า นายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา บิดาของ 1 ใน 5 นักศึกษากลุ่มดาวดิน จาก ม.ขอนแก่น ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก หลังทราบแม่ทัพภาคที่ 1 ออกมาเปิดเผยว่า กลุ่มดาวดินรับเงินการจากนักการเมือง เพื่อออกมาเคลื่อนไหวต้าน พล.อ. ประยุทธ์ โดยระบุว่า

          "ขนาดชายชาติทหาร ยังกล้าบิดเบือนป้ายสีให้ร้ายผู้อื่น การอ้างการข่าวแล้วนำมาพูดลอย ๆ ใคร ๆ ก็พูดได้ ลองยกตัวอย่างเล่น ๆ ว่าจากการข่าวที่ได้มาดูเหตุการณ์ นักศึกษา มข. ชู 3 นิ้วต่อหน้า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนั้น มีนายทหารยศพลโทอยู่เบื้องหลัง โดยทหารคนนี้ได้รับเงินจากนักการเมือง 50 ล้านบาท เพื่อล้ม พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และจะขึ้นยึดอำนาจแทน โดยพลโทคนนี้จะจ้างเด็กแค่คนละ 100 บาท แต่เด็กขอ 300 บาท ตามแรงงานขั้นต่ำ ซึ่งพลโทดังกล่าวก็ตอบตกลง

          เห็นไหมว่าผมก็พูดลอย ๆ ได้ ต่างกันตรงผมเป็นประชาชนคนธรรมดาไม่มีใครเชื่อถือ หรือถูกมองว่าบ้าแต่คนที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองพูด คนจะเชื่อถือดังนั้นชอบที่จะระมัดระวังก่อนพูด อีกทั้งตรวจสอบแหล่งข่าวไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน มิฉะนั้นต่อไปพอพูดถึงแหล่งข่าวทหารและคำพูดนายทหารระดับใหญ่ จะกลายเป็นเรื่องที่สังคมรับรู้ทั่วไปว่าเป็นเรื่องตลกที่ไม่ขำ ไม่มีสาระ น้ำเน่า หน่วยงานรัฐอื่น ๆ ล้มเหลวสิ้นเชิงแล้ว เหลือของกองทัพไว้เชิดหน้าชูตาบ้างก็ดีนะครับ"

 
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก