The 5th GMS Summit
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3
การประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศครั้งที่ 5 (The 5th GMS Summit) เริ่มขึ้นแล้ว โดย พล.อ. ประยุทธ์ เสนอ 7 แผน เชื่อมคมนาคมขนส่งทางบก-ทางทะเล 6 ประเทศ
วันนี้ (21 ธันวาคม 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. การประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศครั้งที่ 5 (The 5th GMS Summit) ได้เริ่มขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ ซึ่งผู้นำและบุคคลสำคัญที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ประกอบด้วย...
- พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประธานในพิธี
- สมเด็จมหาอัครเสนาบดี ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
- นายหลี เค่อ เฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน
- นายทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรีลาว
- นายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
- นายเหวียนเติ้นสุง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
- รัฐมนตรีของกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง
- นายทาเคฮิโกะ นากาโอะ ประธานธนาคารพัฒนาเอเชียและประธานสภาธุรกิจของกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง GMS
ทั้งนี้ภายในการประชุมดังกล่าว พล.อ. ประยุทธ์ ได้กล่าวว่า เมื่อ 20 ปีก่อน คงไม่มีใครเชื่อว่าประชาชนของเราทั้ง 6 ประเทศจะสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวกสบายเช่นทุกวันนี้ และคงไม่มีใครเชื่อว่าผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรมจะสามารถส่งสินค้าข้ามพรมแดน 3 ประเทศ ไทย-ลาว-เวียดนาม ได้ภายในวันเดียว แต่ก็เพราะวิสัยทัศน์ของเราที่ร่วมมือกัน จึงทำให้เราประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่ง
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เมื่อ 3 ปีก่อน ในการประชุมที่กรุงเนปิดอว์ ผู้นำประเทศกลุ่มแม่น้ำโขงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่จัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการลงทุนช่วงสิบปี (ค.ศ.2012-2022) ซึ่งรัฐมนตรี GMS ได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว โดยมีโครงการที่มีความสำคัญระดับสูงวงเงินลงทุนประมาณ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งในวันนี้ เราในฐานะผู้บังคับบัญชาก็จะได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ต่อมา พล.อ. ประยุทธ์ ได้กล่าวเสนอแผนการทำงานในช่วง 10 ปีข้างหน้าที่จะให้ความเห็นชอบและนำไปสู่การปฏิบัติ แต่ควรต้องให้ความสำคัญกับ 7 เรื่องก่อนคือ...
- การใช้ประโยชน์ให้เต็มที่จากการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ ซึ่งจะจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมกันตามแนวชายแดนของแต่ละประเทศ โดยประเทศไทยได้ประกาศจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษนำร่องแล้วใน 5 พื้นที่ชายแดนเป้าหมาย ได้แก่ แม่สอด, มุกดาหา, สระแก้ว, ตราด และ สงขลา
- พัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทั้งทางบกและทางทะเลให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมระหว่างประเทศในระยะเร่งด่วน 2 เส้นทางหลัก คือเส้นทางอรัญประเทศ-ปอยเปต และเส้นทางที่ 2 ได้แก่ หนองคาย-เวียงจันทน์-คุนหมิง
- ลดขั้นตอนการผ่านแดน โดยจะมีการแก้ไขกฎระเบียบและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ยังเป็นอุปสรรค นอกจากนี้ยังเสนอให้เพิ่มเส้นทางหมายเลข 8 และหมายเลข 12 ใน สปป. ลาว นอกเหนือจากเส้นทางหมายเลข 9 ที่เชื่อมกับไทยด้าน จ.นครพนม อีกด้วย เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงระบบการขนส่งข้ามแดนระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม โดยอาจร่วมกันจัดการเดินรถโดยสารระหว่างประเทศ เส้นทางกรุงเทพฯ-สะหวันนะเขต-ดานัง หรืออื่น ๆ
- การพัฒนาแหล่งพลังงานร่วมกัน
- การระดมทุนเพื่อพัฒนา ซึ่้งจะขอความร่วมมือจากประเทศและองค์การระหว่างประเทศที่เป็นหุ้นส่วนการพัฒนา สนับสนุนแผนปฏิบัติการลงทุนของภูมิภาค (Regional Investment Framework: RIF)
- ปรับปรุงสิทธิประโยชน์และส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนในภูมิภาค โดยเสนอให้พิจารณากลไกการประกันสินเชื่อแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งการเข้าถึงแหล่งเงิน SMEs จะส่งผลสำคัญในการสร้างขีดความสามารถ และศักยภาพของ SMEs
- ร่วมมือกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการภัยพิบัติ
นอกจากนี้ ไทยและเวียดนามได้เห็นพ้องกันที่จะจัดประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการครั้งที่ 3 ซึ่งจะมอบหมายให้กระทรวงต่างประเทศทั้ง 2 หารือกันต่อไป สำหรับความร่วมมือด้านการพัฒนาความเชื่อมโยงนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทั้ง 2 ประเทศจะต้องใช้ประโยชน์จากเส้นทางคมนาคมให้เกิดประโยชน์ โดยจะมีการปรับปรุงถนน ด่าน และกฎระเบียบการข้ามแดน พร้อมทั้งยินดีที่เวียดนามเห็นชอบให้มีการบริการรถโดยสารระหว่างไทยและเวียดนาม
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก