ศาลปกครอง พิพากษาคดีโรงไฟฟ้าเหมืองแม่เมาะลำปาง สั่ง กฟผ. อพยพราษฎรที่ได้รับผลกระทบออกนอกรัศมีผลกระทบ 5 กิโลเมตร พร้อมถมดินกลับเหมือนเดิมและปลูกต้นไม้ทดแทน ภายใน 90 วัน
วันนี้ (11 กุมภาพันธ์ 2558) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 รายงานความคืบหน้ากรณี นางมะลิวรรณ นาควิโรจน์ กับพวกรวม 338 คน ซึ่งเป็นชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในโครงการเหมืองแร่ถ่านหินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง ยื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กับพวกรวม 11 คน ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เป็นเงื่อนไขท้ายประทานบัตรเหมืองแร่
โดยวานนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2558) ศาลปกครองสูงสุด ที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้อ่านคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองขั้นต้น ของผู้ถูกฟ้องคดีลำดับที่ 7 คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรณีที่ กฟผ. เป็นผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองแร่ถ่านหินในพื้นที่แม่เมาะ ไม่ปฏิบัติตามวิธีการทำเหมืองแร่และเงื่อนไขท้ายประทานบัตร ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำแผนผังโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ โดยการปลูกต้นสนประดิพัทธ์เป็นแนวกำบังแทนม่านน้ำกั้นลดฝุ่นละอองในบรรยากาศ ถือว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่ นอกจากนี้ยังไม่อพยพชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงออกจากพื้นที่ด้วย จนก่อให้เกิดมลพิษมีผู้ได้รับผลกระทบทั้งสุขอนามัยและทรัพย์สิน
อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุด ได้ออกคำพิพากษาให้ กฟผ. ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังนี้ภายใน 90 วัน
1. ให้ทำการติดตั้งม่านน้ำเพื่อเป็นการลดฝุ่นละอองในบรรยากาศ มีความยาว 800 เมตร ระหว่างที่ทิ้งดินด้านทิศตะวันออกกับบ้านหัวฝาย และระหว่างทีทิ้งดินด้านทิศตะวันตกกับหมู่บ้านทางทิศใต้
2. ให้จัดตั้งคณะทำงานระดับท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพิจารณาในการอพยพราษฎรที่ได้รับผลกระทบที่อาจนำไปสู่อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และมีความประสงค์จะอพยพในการอพยพหมู่บ้านออกนอกรัฐมีผลกระทบ 5 กิโลเมตร
3. ให้ฟื้นฟูขุมเหมืองให้ใกล้เคียงกับสภาพเดิมตามธรรมชาติ โดยการถอดินกลับในบ่อเหมืองให้มากที่สุด และปลูกป่าทดแทน เฉพาะในส่วนที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตนำพื้นที่ที่ต้องฟื้นฟูขุมเหมืองไปทำเป็นสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟในปัจจุบัน
4. ให้นำพืชที่ปลูกในพื้นที่ชุ่มน้ำไปกำจัด และปลูกเสริมทุก ๆ 18 เดือน และต้องทำการขุดลอกเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำ
5. ให้ทำการขนส่งเปลือกดินโดยใช้ระบบสายพานที่มีการติดตั้งระบบสเปรย์น้ำตามแนวสายพาน ให้วางแผนจุดปล่อยดิน โดยให้ตำแหน่งที่ปล่อยดินไม่อยู่ในตำแหน่งต้นลมที่พัดผ่านไปยังชุมชนที่อยู่โดยรอบ ให้กำหนดพื้นที่ Buffer Zone ระยะจุดปล่อยดินกับชุมชนให้เป็นระยะทางไม่น้อยกว่า 50 เมตร และควรจัดทำเป็นบังเกอร์ให้จุดปล่อยดินอยู่ต่ำกว่าความสูงของบังเกอร์ในการปล่อยดินลงที่เก็บกองดินนั้นจะต้องกำหนดเป็นตารางที่แน่นอน โดยใช้ฤดูเป็นเกณฑ์ในการตัดสินตำแหน่งที่ต้องห่างจากชุมชนมากที่สุด
พร้อมกันนี้ได้สั่งให้อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานที่ถูกฟ้องด้วย ไปกำกับดูแลให้เรียบร้อยภายใน 90 วัน หาก กฟผ. ไม่ปฏบัติตามให้อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานใช้อำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ. แร่ โดยเคร่งครัด
นอกจากนี้ยังมีคำพิพากษาถึงกรณีที่ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐาน ไม่ใช้อำนาจเพิกถอนประทานบัตร โดยศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า การเพิกถอนจะมีผลกระทบต่อการผลืตกระแสไฟทำให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณะและประชาชนมากกว่าผลดีเพราะฉะนั้นจึงไม่เข้าข่ายละเลยต่อหน้าที่
ส่วนข้อเรียกร้องชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบให้ กฟผ. ชดเชยค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 1,086 ล้านบาทนั้น ทางศาลปกครองสูงสุด ไม่ได้มีการตัดสินเรื่องนี้แต่อย่างใด เนื่องจากหลักฐานการยื่นฟ้องของชาวบ้านที่กล่าวว่า ทาง กฟผ. ปล่อยมลพิษจนสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินและสุขภาพโดยรวม ยังไม่ชัดเจน
ทั้งนี้ในส่วนของคดีที่ชาวบ้านเรียกร้องค่าชดเชย มีกำหนดการในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 ศาลปกครองเชียงใหม่ นัดอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณีผู้ป่วย 131 ราย ซึ่งมีเอกสารยืนยันทางการแพทย์ที่ยื่นฟ้อง กฟผ. ด้วย หากศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น กฟผ. จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 131 ราย รวมเป็นเงิน 1,086 ล้านบาท