x close

พลิกปูม คดีมหากาพย์ สจล. โคตรโกง 1.6 พันล้าน

 


          นับเป็นเรื่องช็อกวงการมหาวิทยาลัยครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงต้นปี 58 กับเรื่องราวของการยักยอกเงินสดกว่า 1.6 พันล้าน ไปจากบัญชีกลางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ที่สร้างความสั่นสะเทือนไปถึงคนในหลากหลายวงการไล่ไปตั้งแต่ผู้บริหารการศึกษา นักการเงินของธนาคาร ไปจนถึงดารานักแสดงชื่อดัง ก็ไม่วายโดนหางเลขกันไปอย่างถ้วนหน้า

          เรื่องดังกล่าวแดงขึ้นนับตั้งแต่เจ้าหน้าที่ สจล. ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามว่า เงินในบัญชีของสถาบันหายไปกว่า 80 ล้านบาท จากนั้นเป็นต้นมา การตรวจสอบเส้นทางการเงินย้อนหลังชนิดถอนรากถอนโคนคนโกงของ สจล.ทั้งหมดก็เริ่มต้นขึ้น จนพบว่าจำนวนเงินที่หายไปจากบัญชีหายไปทั้งสิ้นกว่า 1,600 ล้านบาท

           ทั้งยังก่อให้เกิดความสนใจจากสังคมและเกิดเป็นกระแสต่อต้านการคดโกงอันมาจากความไม่ชอบมาพากลในแวดวงการศึกษาอย่างที่เริ่มส่งกลิ่นชัดเจนขึ้นทุกขณะ เพราะยังไม่แน่ชัดว่าความเสียหายของเรื่องดังกล่าวหากมีการตรวจสอบย้อนหลังลงไปจะหยุดอยู่ที่ตัวเลขเพียง 1,600 ล้านบาทหรือไม่

          ในเริ่มแรกตำรวจสันนิษฐานว่าการยักยอกเงินในครั้งนี้ เป็นการกระทำที่มีการวางแผนไว้เป็นอย่างดี และน่าจะมีผู้เกี่ยวข้องเป็นคนระดับบริหารที่มีอำนาจร่วมด้วย เนื่องจากได้มีการซอยบัญชีไว้จำนวนมาก เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบ พร้อมทั้งมีการใช้เอกสารการเงินที่เขียนขึ้นเองซึ่งมีรายละเอียดจากธนาคารประกอบอยู่บ้างเล็กน้อย ทำให้ไม่มีใครสังเกต

          แนวทางการสืบสวนนั้น ตำรวจเริ่มแกะรอยจากการจับกุมจิ๊กซอตัวแรกคือ นายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซี ศรีนครินทร์ และนางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผอ.ส่วนการคลัง ที่ถือเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง โดยเฉพาะขั้นตอนการเบิกถอนเงินในบัญชีของ สจล.


กิตติศักดิ์ มัทธุจัด โดนอายัดทรัพย์ 500 ล้านบาท คดียักยอกเงิน สจล.
กิตติศักดิ์ มัทธุจัด โดนอายัดทรัพย์ 500 ล้านบาท คดียักยอกเงิน สจล.
 

          จนกระทั่งสามารถสาวไปตัว นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด คีย์แมนคนสำคัญของแก๊งที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงบัญชีในกระบวนการฟอกเงิน ด้วยการนำไปแปรสภาพเป็นสินทรัพย์ต่าง ๆ ตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์ ของแบรนด์เนม รวมไปถึงรถสปอร์ตคันงามที่ขายต่อให้กับนายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือ บอย ปกรณ์ ดารานักแสดงชื่อดัง โดยขณะนั้นเป็นช่วงที่นายกิตติศักดิ์ ได้เดินทางไปพักผ่อนที่ฮ่องกง จึงยังคงหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ
         
          และในที่สุดมหากาพย์คดีลักเงินสะเทือนวงการการศึกษาดังกล่าวก็เดินทางมาถึงจิ๊กซอตัวสุดท้าย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรวบรวมหลักฐานจากสิ่งสำคัญของการเบิกเงินในบัญชีของสถาบันออกมานั่นก็คือ "ลายเซ็น" ของผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเบิกถอนเงินในบัญชี จนสามารถสาวถึง "บอส" ของขบวนการ

          และหลังจากการตรวจสอบลายเซ็นที่เกี่ยวกับเอกสารการเบิกจายของเงินที่มีปัญหาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่กองปรอบก็ได้ออกหมายเรียก 3 เจ้าหน้าที่ของ สจล. ทันทีได้แก่ นายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดีของ สจล. ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในขณะที่เกิดเรื่อง โดยเจ้าตัวปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด พร้อมยืนยันสู้คดีอย่างถึงที่สุด ตามมาด้วยนายศรุต ราชบุรี อาจารย์แผนกมนุษยศาสตร์ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมของสถาบัน ที่มีหลักฐานเชื่อว่าเป็นผู้ร่วมกระทำผิดเช่นกัน


ถวิล พึ่งมา ย้ำต่อสู้คดีโกงเงิน สจล. ถึงที่สุด มั่นใจบริสุทธิ์
นายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล.

          เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหานายถวิลและพวกรวมทั้งหมด 5 ข้อ ได้แก่

          1. ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ซื้อทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่องค์การ บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น

          2. ร่วมกันสนับสนุนพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502

          3. ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม

          4. ร่วมกันลักทรัพย์

          5. ร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

          ทั้งนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่สอบสวนทั้งสองแล้ว พล.ต.ท. ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ออกมาเปิดเผยว่า กลุ่มผู้ต้องหาอาจเป็นบอสที่เป็นหัวหน้าใหญ่ของขบวนการนี้ เนื่องจากพบพิรุธหลายอย่าง เช่นเรื่องการทำหนังสือไม่ให้ธนาคารตรวจสอบบัญชีของ สจล. หรือการไปรับรองความประพฤติให้แก่นายทรงกลด ศรีประสงค์ ในขณะที่ธนาคารต้นสังกัดกำลังตรวจสอบความประพฤติอยู่ เป็นต้น พร้อมกับนำตัวทั้งสองไปฝากขังยังศาลจังหวัดมีนบุรีทันที พร้อมคัดค้านการประกันตัว

          แต่ถึงกระนั้น แม้ทางการสืบสวนจะมีความคืบหน้าไปค่อนข้างมากจนสามารถได้ตัวผู้บงการอันดับต้น ๆ แล้วก็ตาม แต่ประเด็นอีกเรื่องที่มีความร้อนแรงไม่แพ้การจับกุมคนร้ายก็คือ ท่าทีของ ผู้บริหาร สจล. กับ ผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ออกมาให้ข้อมูลตอบโต้กันไปกันมาผ่านสื่อมวลชนอย่างดุเดือดหลายครั้ง

          โดยฝั่งผู้บริหาร สจล. ได้ออกมาระบุว่า สถาบันไม่ได้รับความร่วมมือจากธนาคารไทยพาณิชย์ ในการขอเอกสารหลักฐาน สลิปถอนเงิน รวมไปถึงสำเนาการสอบสวนนายทรงกลด ศรีประสงค์ หนึ่งในผู้ต้องหาคดีนี้ ในขณะยังเป็นผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งหลักฐานดังกล่าวเป็นหลักฐานสำคัญในการเอาผิดคนร้าย ถึงกับประกาศว่า จะยกเลิกการทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดกับธนาคารแห่งนี้ 

          จากนั้นผู้บริหารของไทยพาณิชย์ ฝ่ายป้องกันอาชญากรรมทางการเงินและความปลอดภัย ก็ออกมาเปิดแถลงข่าวตอบโต้โดยทันทีว่า ที่ผ่านมาธนาคารยินดีให้ความช่วยเหลือในการตรวจสอบในกรณีดังกล่าวอย่างเต็มที่ และได้มีการรวบรวมและจัดส่งข้อมูลทางบัญชี การเงินที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ให้แก่เจ้าพนักงานสอบสวนตลอดมาตั้งแต่ต้นโดยมิได้ชักช้าหรือประวิงคดีแต่อย่างใด

          เรื่องดังกล่าวรุนแรงยิ่งขึ้น จนกระทั่งในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 ธนาคารไทยพานิชย์ และ สจล. ได้จัดงานแถลงข่าวถึงตกลงร่วมกันในการจัดส่งเอกสารของธนาคารที่ยังได้รับไม่ครบถ้วนให้กับ สจล. โดยทางธนาคารให้สาเหตุว่า การจัดส่งเอกสารล่าช้า เพราะเอกสารของธนาคารมีจำนวนมากอาจต้องใช้เวลา ประกอบกับต้องปรึกษาทีมกฏหมาย พร้อมทั้งได้แต่งตั้งกรรมการชุดใหม่เพื่อดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ

คดี สจล.

          และล่าสุดวันนี้ (27 กุมภาพันธ์) ธนาคารไทยพาณิชย์ และ สจล. ได้จัดงานแถลงข่าวร่วมกันอีกครั้งถึงการบรรลุข้อตกลงเยียวยาความเสียหาย 1,500 ล้านบาท โดยไทยพาณิชย์ยินดีจะจ่ายเงินดูแลความเสียหายในกรอบวงเงิน 1,500 ล้านบาท ตามมูลค่าความเสียหายที่ทาง สจล.ได้ประเมินไว้ โดยทั้งสองฝ่ายออกมาระบุอย่างชัดเจนอีกว่าจะไม่ขอพูดถึงเรื่องคดีนี้อีก โดยจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการให้ข่าวเพียงเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าประเด็นความบาดหมางของทั้งสองฝ่ายคงจะจบลงด้วยดี

          อย่างไรก็ตามแม้ว่าเรื่องราวอันเป็นมหากาพย์การยักยอกเงินในครั้งนี้ใกล้จะถึงตอนอวสานแล้ว แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือบทเรียนสำคัญให้แก่ทุกสถาบันในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในวงการศึกษาบ้านเรา และอุทาหรณ์ที่สังคมจะต้องกล่าวขานถึงไปอีกนานแสนนาน 





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
พลิกปูม คดีมหากาพย์ สจล. โคตรโกง 1.6 พันล้าน อัปเดตล่าสุด 27 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 23:27:20 30,471 อ่าน
TOP