วิถีชีวิตของคนไทย ที่มีความผูกพันกับช้างมาตั้งแต่อดีต ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง ของคนไทยมาช้านาน เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องปัญหางาช้างของประเทศไทย จึงต้องเสริมสร้างจิตสำนึกอันจะนำมาซึ่งความร่วมมือที่ดีในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนให้ประชาชนได้รับความรู้เกี่ยวกับกฎหมายการค้างาช้างของประเทศไทย
กลายเป็นประเด็นร้อนต่อเนื่อง ที่ตกอยู่ในความสนใจของประชาคมโลก ภายหลังเกิดกระแสตื่นตัว ในการรณรงค์หยุดค้างาช้างผิดกฎหมาย จากนานาประเทศจนก่อให้เกิดแรงกระเพื่อม
ในวงกว้างไปสู่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากธุรกิจค้างาช้างถือเป็นธุรกิจผิดกฎหมายที่มีการค้ามากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากการค้ายาเสพติด
การค้าอาวุธและการค้ามนุษย์ โดยประเทศไทยภายใต้การนำของกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่าและพันธุ์พืช
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ขานรับนโยบายในการรณรงค์ต่อวาระ
ดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติอย่างจริงจัง โดยรัฐบาลสนองตอบต่อนโยบายของสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์
(CITES) ด้วยการตราพระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. 2558เพื่อให้มีผลบังคับใช้การแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถควบคุมการค้างาช้างบ้านและปราบปรามการลักลอบค้างาช้างแอฟริกาได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใน 90 วัน ระหว่างวันที่ 22 ม.ค.-21เม.ย. 2558 สืบเนื่องจากประเทศไทยนับเป็นประเทศเดียวในโลกที่เป็นเสมือนศูนย์รวมในการค้างาช้างบ้านของไทยและเป็นทางผ่านสำคัญของการส่งออกงาช้างป่าจากแอฟริกาสู่กลุ่มประเทศเป้าหมาย
อาทิ จีน เกาหลี และญี่ปุ่น
โดยในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิด กิจกรรมรณรงค์การปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับงาช้าง" พร้อมด้วย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายนิพนธ์ โชติบาล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์ฯ
โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
กับการครอบครอง และการค้างาช้าง
2. เพื่อให้ประชาชนได้ทราบแนวทางปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย
ในเรื่องการแจ้งครอบครอง และการค้างาช้าง
3. เพื่อการรณรงค์ให้ชาวต่างชาติงดซื้อสินค้างาช้าง และนำออกนอกประเทศ
4. เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ และลดการบริโภคสินค้างาช้าง
5.เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติโดยเฉพาะประเทศภาคีอนุสัญญา
และคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯได้ตระหนักว่าประเทศไทยมีความมุ่งมั่น
และจริงใจต่อการแก้ไขปัญหา การลักลอบค้างาช้างผิดกฎหมายในประเทศ
3
โทษสูงสุดของการค้างาช้าง คือ
จำคุกไม่เกิน 3ปีปรับสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทถือว่าสูงสุดคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ คือ อัยการ ตำรวจ และผู้แทนจากกระทรวงมหาดไทย
ในการพิจารณาเพื่อให้ความเป็นธรรมเปรียบเทียบปรับ
ถ้าค้ากับนำเข้าส่งออกต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 3ปี
และปรับสูงสุด 6 ล้านบาท
เท่ากับราคางาช้างจะสูงขึ้น ของผิดกฎหมายจะถูกบีบ ความจริงอนุญาตค้า
ในประเทศได้
ถ้าเป็นงาช้างบ้าน หากนักท่องเที่ยวมาซื้อก็สามารถใช้ได้เฉพาะในประเทศไทย
เมื่อเดินทางออกจากประเทศไทยก็ต้องทิ้ง เพราะ นำออกนอกประเทศไม่ได้ เพราะ
กฎหมายไม่ให้นำออกไป
แต่ในบ้านเราคนไทยยังซื้อขายกันได้อยู่ถ้าซื้องาช้างที่มีการแจ้งครอบครองถูกกฎหมาย
หากครอบครองไม่ถูกกฎหมายก็ถูกจับ
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
· กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม www.mnre.go.th/
· กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/
· สอบถามสายด่วน 1362