จากเหตุวินาศกรรมรับเทศกาลสงกรานต์ ที่คนร้ายกลุ่มหนึ่งก่อเหตุระเบิดหรือคาร์บอมบ์ภายในห้างเซ็นทรัลฯ ย่านใจกลางของเกาะสมุย ในช่วงเกือบห้าทุ่มของวันที่ 10 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา หลังเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุรถยนต์ระเบิดบริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดิน โซนด้านหลังทางเข้าประตู 3 ถนนเรียบหาดเฉวง ส่งผลให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ 7 ราย เป็นหญิงไทย 4 ราย ชาวต่างชาติ 1 ราย ชายไทย 2 ราย รถยนต์และรถ จยย. เสียหายกว่า 10 คัน
เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจท้าทายอำนาจของ คสช. เป็นครั้งแรก ภายหลังจากการยกเลิกกฎอัยการศึก หากไม่รวมเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นรายวันในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ หลังจากกรณีก่อนหน้านี้ที่มีการลอบวางระเบิดบริเวณทางเดินเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าสยามกับบริเวณหน้าพารากอน และบริเวณหน้าศาลอาญารัชดา
แน่นอนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าไม่ใช่เหตุระเบิดธรรมดา..เพราะที่ผ่านมาไม่ค่อยมีเหตุระเบิดนอกพื้นที่ชายแดนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งของประเทศ ประชาชนจำนวนมากจึงให้ความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นการก่อเหตุของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบชายแดนใต้ หรือเป็นกลุ่มหัวรุนแรงทางการเมืองเช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในเมืองกรุง
หลังเกิดเหตุไม่กี่ชั่วโมงรุ่งเช้าของวันที่ 11 เมษายน พล.ต.อ. สมยศ ผบ.ตร. ก็ได้บินด่วนลงสมุย เพื่อติดตามเหตุคาร์บอมบ์ด้วยตัวเองทันที โดยระบุว่า รถยนต์ที่ถูกนำมาใช่ก่อเหตุ เคยแจ้งหายไว้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมตำหนิกลุ่มผู้ก่อเหตุว่าไม่หวังดีกับประเทศชาติ ก่อเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ประเพณีที่ดีงามของไทย ทั้งยังกระทบกับการท่องเที่ยว เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมาก ทั้งยังมีการเพิ่มความปลอดภัยสนามบินสมุย ตั้งศูนย์อำนวยการฉุกเฉิน และงดให้บริการจอดรถค้างคืน เนื่องจากหวั่นจะเกิดซ้ำ
แต่เรื่องกลับดราม่ายิ่งขึ้น เมื่อมีสมาชิกเฟสบุ๊กรายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า "เอ็ม เสื้อแดง" โฟสต์ข้อความส่อเชื่อมโยงคาร์บอมบ์ที่เกาะสมุยและไฟไหม้โคออป ในลักษณะที่คล้ายกับว่ารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น เจ้าหน้าที่จึงเร่งพลิกแผ่นดินตามหาตัว จนกระทั้งสามารถรวบได้ที่แคมป์คนงานแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี ก่อนนำตัวไปสอบจนทราบว่าจะไม่มีส่วนรู้เห็น เนื่องจากไม่เคยมีประวัติก่อเหตุรุนแรง นอกจากนี้จากการตรวจสอบไปยังเฟซบุ๊กยังพบว่า ข้อความนี้ถูกโพสขึ้นด้วยการทำเฟซบุ๊กขึ้นมาใหม่ของผู้อื่นไม่ใช่นายเอ็ม
ขณะเดียวกันจากการสืบสวนจากยังทราบอีกว่า รถที่ใช้ก่อเหตุเป็นปิกอัพของ อบต.ละแอ อ.ยะหา จ.ยะลา ที่ถูกกลุ่มคนร้ายราว 7-8 คนปล้นไป เมื่อ 31 มีนาคม 58 ก่อนจะถูกติดตั้งถังแก๊สหนัก 50 กก. เพื่อประกอบระเบิด และจุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือแบบตั้งเวลาการระเบิด
จากนั้นความคืบหน้าในการคลีคลายคดีก็มีเพิ่มมากขึ้นตาลำดับ จากการทำงานของหน่วยงานด้านความมั่นคง ที่ระดมกำลังคลี่คลายคดี รวมไปถึงเค้นสอบผู้ต้องสงสัยเพื่อหาหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงผู้ก่อเหตุและผู้จ้างวานให้กลุ่มคนร้ายใช้ คาร์บอมบ์ ก่อวินาศกรรมครั้งนี้ จนพบผู้ต้องสงสัยหลายราย และเส้นทางการเดินทางของรถที่มีจุดเริ่มต้นจากยะลาจนมาถึงจังหวัดสุราษฎร์ ก่อนจะข้ามเรือเฟอร์รี่สู่เกาะสมุย
แต่กระนั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่เปิดเผยข้อมูลได้ เนื่องจากเกรงว่าคนร้ายจะไหวตัวทันซึ่งจะทำให้การทำงานยากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี จากการทำงานอย่างหนักของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ในที่สุดเมื่อวันที่ 19 เมษยายน ที่ผ่านมาทหารก็ได้เข้าล็อกตัว นายอับดุลรอซะ หรือ "บังยี" ซึ่งเป็นหัวคะแนนและคนสนิทของอดีตนักการเมืองใหญ่กว้างขวางรายหนึ่งในพื้นที่ชายแดนใต้ และเป็นเจ้าของเต็นท์รถมือสองในยะลา หลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อรถเถื่อนเพื่อใช้ก่อเหตุคาร์บอมบ์ในครั้งนี้ ซึ่งทางตำรวจเชื่อว่าเป็นกุญแจสำคัญในการไขคดี และขยายไปถึงตัวผู้บงการเบื้องหลังโดยมุ่งเรื่องประเด็นการเมืองชัดเจน
ขณะเดียวกันก็สามารถคุมตัวผู้ต้องสงสัยอีกสองราย ได้แก่ นายอับดุลรอนิง ดือราแม อายุ 51 ปี และนายซาบีดี สาและบิง อายุ 33 ครูอัตราจ้างของโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ยะรัง เนื่องจากมีหลักฐานเชื่อมโยงว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล้นรถยนต์ ก่อนที่รถคันดังกล่าวจะถูกนำไปประกอบระเบิดที่บริเวณลานจอดรถศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลเกาะสมุย
และในเวลาต่อมาก็ได้มีการเพยแพร่ภาพสเก็ตซ์ ของหนึ่งในคนร้ายที่เชื่อว่าเป็นโชเฟอร์ขับรถขนระเบิดบึ้มสมุยแล้ว 1 ราย เพื่อเร่งแกะรอยเบาะแส จากกล้องวงจรปิดและพยาน หลังจากพบความเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงถึงกันหลายจุด
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาเปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า จากแนวทางการสืบสวนและพยานหลักฐานที่ปรากฎในขณะนี้นั้น ทำให้เจ้าหน้าที่มั่นใจว่าเหตุดังกล่าว "เชื่อมโยงกับเรื่องของการเมือง" ที่ต้องการสร้างสถานการณ์ และได้อาศัยกลุ่มคนที่มีความชำนาญในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาร่วมก่อเหตุ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยว่าได้ว่าเป็นกลุ่มใด เพราะอาจกระทบสิทธิ์ผู้ที่ถูกพาดพิงและกระทบก่อรูปคดีทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานยากยิ่งขึ้น
ส่วนกรณีที่มีเจ้าของบริษัทเคเบิ้ลท้องถิ่นของจังหวัดพัทลุง เดินทางเข้ามาพบเจ้าหน้าที่สภ.เมืองพัทลุง เนื่องจากพบว่าตนเองมีใบหน้าตาคล้ายกับบุคคลในภาพสเกตช์ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดนั้น ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่บุคคลสามารถกระทำได้ โดยเจ้าหน้าที่ก็จะตรวจสอบและสืบสวนสอบสวนของตามหลักฐาน และขั้นตอนต่อไป
แม้ว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่สามารุคลี่คลายลงได้ในขณะนี้ ทั้งนี้ก็ได้แต่หวังว่าบทสรุปของเหตุระเบิดแหล่งท่องเที่ยวที่ท้าทายการทำงานเจ้าหน้าที่ ในยุคที่เรียกได้ว่าทหารและตำรวจร่วมมือเป็นทีมได้อย่างดียุคหนึ่งของประเทศ ในครั้งนี้ จะสามารถคลายเงื่อนที่ดูเหมือนว่าจะถูกผูกมาอย่างดีจากผู้ก่อเหตุ ให้ประชาชนได้ทราบเสียที
ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับอดีตนักการเมืองใหญ่ในภาคใต้ จริงหรือไม่ จะสามารถออกหมายจับผู้ต้องรายแรกได้เมื่อไหร่ และแท้จริงแล้วใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังคาร์บอมบ์กลางเมืองสมุยในครั้งนี้
