วันที่ 27 เมษายน 2558 นายสุรพงษ์ เชียงทอง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เปิดเผยว่า ในเดือนพฤษภาคมนี้กระทรวงอุตสาหกรรมจะลงนามความร่วมมือกับกระทรวงกลาโหม เพื่อทำการเข้าไปสำรวจแร่ในพื้นที่ทหาร จากการประเมินเบื้องต้นพบสายแร่สำคัญหลายประเภท อาทิ แร่เหล็ก แร่ควอตซ์ โดยเฉพาะแร่ควอตซ์ในเขตพื้นที่หทารที่ จ.กาญจนบุรี คาดว่ามีปริมาณมากกว่า 1 ล้านตัน อีกทั้งพบว่ามีสายแร่อยู่ในพื้นที่ทหารในเขต จ.ราชบุรี เพชรบุรี และสุพรรณบุรี ซึ่งจากการคาดการณ์พบว่าจะมีสายแร่สำรองทั่วประเทศหลายร้อยล้านตัน แต่ยังไม่สามารถระบุชัดได้ว่ามีสำรองจริงเท่าไร เพราะเป็นเพียงการสำรวจจากพื้นที่ภายนอกเท่านั้น
โดยแร่ควอตซ์นั้นหากนำมาแปรรูปจะสร้างมูลค่ามหาศาล แร่ควอตซ์ดิบจะมีมูลค่าประมาณ 1,500/ตัน หากนำมาผลิตเป็นควอตซ์เมทัลเกรด จะสามารถเพิ่มมูลค่าเป็น 50,000 บาท/ตัน นอกจากนี้หากนำไปแปรรูปเป็นโซลาร์เกรดซึ่งเป็ยวัตถุดิบในการผลิตโซลาร์เซลล์ จะมีมูลค่าเพิ่มถึง 9 แสนบาท/ตัน จะทำให้สร้างรายได้ให้กับประเทศอย่ามหาศาล อย่างไรก็ตามขณะนี้มีโรงงานที่ผลิตแร่เมทัลเกรดแล้ว 2 โรง ล่าสุดต่างชาติมาตั้งโรงงานผลิตโซลาร์เกรด 1 แห่งคาดว่าจะสร้างเสร็จภายใน 2 ปี ซึ่งกำลังการผลิตจะสามารถทดแทนการนำเข้าโซลาร์เซลล์ของไทยได้ทั้งหมด ดังนั้นหากสามารถเปิดเหมืองแร่ควอตซ์ได้เพิ่มขึ้น จะเป็นการดึงดูดกลุ่มทุนจากต่างชาจิให้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตโซลาร์เซลล์มากขึ้น
ส่วนแร่เหล็กจะพบมากในบริเวณเขาทับควาย จ.ลพบุรี ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของทหารเช่นกัน คาดว่าจะมีแร่เหล็กสำรองประมาณ 60-80 ล้านตัน และเป็นแร่เหล็กที่มีคุณภาพสูงมาก ซึ่งหากรวมกับแหล่งแร่เหล็กต่าง ๆ ของไทยแล้ว จะมีปริมาณสำรองมากกว่า 100 ล้านตัน โดยในขณะนี้ราคาแร่เหล็กตกต่ำมีราคาประมาณ 1,200 บาท/ตัน แต่ถ้าในช่วงที่ตลาดโลกมีความต้องการสูง ราคาแร่เหล็กจะเพิ่มไปถึง 2,500- 3,000 บาท/ตัน
ทั้งนี้ หลังจากกระทรวงกลาโหมและกระทรวงอุตสาหกรรมลงนามความร่วมมือ(MOU) กันแล้ว จะเริ่มดำเนินการสำรวจปริมาณแร่ต่าง ๆ ในพื้นที่ทหารทั้งหมดเพื่อให้มีข้อมูลปริมาณสำรองแร่ที่ชัดเจน จากนั้นจะเข้าไปร่วมมือพัฒนาพื้นที่ต่อไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
