เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น "หมอ" ก็มีหน้าที่ต้องรักษาผู้ป่วย แต่เมื่อคนเป็นหมอเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาเสียเอง ก็ต้องเปลี่ยนสถานะตัวเองเป็นผู้ป่วย แล้วไปหาหมอ (คนอื่น) ให้เขารักษาให้เหมือนกัน แต่หากว่าหมอคนเดียวควบทั้งสองสถานะ เป็นทั้งผู้ป่วยและผู้รักษาไปในเวลาเดียวกัน ก็คงจะแปลกน่าดู และเรื่องแปลกจนชวนทึ่งนั้นก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อมีนายแพทย์ชาวรัสเซียป่วยด้วยอาการไส้ติ่งอักเสบ และตัดสินใจจรดมีดเปิดหน้าท้อง ลงมือผ่าตัดเอาไส้ติ่งของตนเองออกด้วยตัวเอง การผ่าตัดตัวเองของเขายังเป็นที่กล่าวขานถึงความใจเด็ดสุด ๆ มาจนถึงบัดนี้
ด้วยอายุ 27 ปี ดอกเตอร์เลียวนิด โรโกซอฟ (Leonid Rogozov) ศัลยแพทย์ชาวรัสเซีย ได้ร่วมเดินทางไปกับคณะสำรวจของสหภาพโซเวียต เพื่อตั้งสถานีวิจัยที่ควีนมอดแลนด์ บนดินแดนน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกา คณะออกเดินทางกันทางเรือ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางกลางมหาสมุทรถึง 36 วัน กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง นั่นจึงหมายความว่าไม่มีทางเลยที่จะเดินทางไปถึงโรงพยาบาลได้ทันหากเกิดกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีแพทย์ประจำทีมอย่างดอกเตอร์โรโกซอฟเดินทางไปด้วย แต่เหตุคับขันที่ไม่คาดฝันยิ่งกว่าก็ได้เกิดขึ้น เมื่อฝ่ายที่เจ็บป่วยฉุกเฉินขึ้นมานั้นกลับเป็นตัวคุณหมอคนนี้เสียเอง
บันทึกในวันที่ 29 เมษายน 1961 ของดอกเตอร์โรโกซอฟ ซึ่งเป็นเวลา 2 เดือนให้หลัง หลังจากที่เดินทางถึงจุดหมายและจัดตั้งสถานีวิจัยขึ้นสำเร็จ เขียนไว้ว่า "ร่างกายผมเริ่มอ่อนแอ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน และรู้สึกเจ็บที่ท้องด้านล่างขวา แต่ผมไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ผมยิ้มด้วยซ้ำ ไม่เห็นต้องทำให้เพื่อนร่วมทีมกังวลเลย"
แต่ความเจ็บปวดที่ทวีขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ดอกเตอร์โรโกซอฟเปลี่ยนใจ เขาเขียนในบันทึกวันที่ 30 ว่า "นอนไม่หลับเลยทั้งคืน เจ็บทรมานยิ่งกว่าอะไรดี...คงต้องหาทางออกให้เรื่องนี้แล้ว 'ผ่าตัดตัวเอง' แทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ไม่มีวันนอนกอดแขนยอมแพ้แบบนี้แน่"
ในที่สุดดอกเตอร์โรโกซอฟก็ตัดสินใจเรียกเพื่อนร่วมทีมเข้ามาเพื่อนัดแนะว่าต้องทำตัวอย่างไรเพื่อเป็นผู้ช่วยเขาระหว่างลงมือผ่าตัดตัวเอง อุปกรณ์จำเป็นถูกนำออกมาฆ่าเชื้อ และปฏิบัติการผ่าตัดก็เริ่มต้นขึ้นในเวลาราว 02.00 น. ของวันที่ 1 พฤษภาคม 1961
คุณหมอโรโกซอฟเอนหลังอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน เขาฉีดยาชาให้ตัวเอง รอจนออกฤทธิ์ดี แล้วก็จรดปลายมีดคมกริบกรีดเปิดหน้าท้องของตนเองออก ในบันทึกซึ่งเขียนขึ้นหลังการผ่าตัดระบุว่า แม้ตอนแรกจะให้เพื่อนช่วยถือกระจกเงาเพื่อให้เขาได้มองเห็นอวัยวะในท้องตนเอง แต่ในที่สุดก็พบว่าไม่เป็นประโยชน์นัก เพราะนอกจากจะเกะกะแล้ว ภาพยังกลับซ้ายเป็นขวา เขาจึงเลิกใช้กระจกแล้วอาศัยความรู้สึกจากการสัมผัสแทน นอกจากนี้ก็ยังไม่สวมถุงมือระหว่างผ่าตัด เพื่อให้สามารถรับรู้จากการสัมผัสได้แม่นยำขึ้น
"ในที่สุดผมก็เจอมัน เจ้าไส้ติ่งร้าย ตรงปลายมันเริ่มมีสีคล้ำ ซึ่งหมายความว่าหากปล่อยไว้นานกว่านี้เพียงสักวัน มันอาจแตกขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ แล้วตอนที่แย่ที่สุดระหว่างเอาไส้ติ่งออกคือแรงผมแทบไม่เหลือ หัวใจเต้นช้าลงมากอย่างรู้สึกได้ มือผมชาอย่างกับก้อนยาง ผมคิดว่ามันจะจบไม่สวยซะแล้ว สิ่งที่เหลือคือหยิบมันออกมาเท่านั้น และพอผ่านมันมาได้ ผมก็รู้เลยว่าผมปลอดภัยแล้ว" ดอกเตอร์โรโกซอฟเขียนถึงนาทีผ่าตัดไส้ติ่งของตัวเอง
การผ่าตัดกินเวลาทั้งสิ้นกว่า 2 ชั่วโมง ระหว่างนั้นดอกเตอร์โรโกซอฟหยุดพักเป็นช่วง ๆ ทุก 5 นาที เนื่องจากความอ่อนแรง แต่ท้ายที่สุดทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น แม้ว่าจะความผิดพลาดขึ้นประการหนึ่ง คือคุณหมอพลาดกรีดเปิดกระพุ้งลำไส้ใหญ่ของตัวเองไปด้วย ทำให้ต้องเย็บปิดจุดที่กรีดพลาด ก่อนจะเย็บปิดแผลหน้าท้องของตัวเอง หลังปิดหน้าท้องแล้วคุณหมอได้สอนให้เพื่อนเก็บล้างและทำลายอุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่าตัด และเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ดอกเตอร์โรโกซอฟก็กินยานอนหลับและนอนหลับไป
วลาดิสลาฟ เยอโบวิช ผู้อำนวยการสถานีวิจัยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์ระทึก เขียนถึงการผ่าตัดครั้งนี้ว่า ตอนโรโกซอฟเปิดหน้าท้องตัวเองออกมา คนในห้องได้ยินเสียงน้ำย่อยไหลโกรกในท้องของเขา เป็นอะไรที่ชวนพะอืดพะอมมาก เดาว่าทุกคนในนั้นคงอยากเดินหนี แต่สุดท้ายก็ได้แต่อยู่ในห้องนั้นต่อไป
และใช้เวลาพักฟื้นอยู่อีกราว 2 สัปดาห์ ในที่สุดก็หายและสามารถลุกขึ้นมาทำงานได้ตามปกติ เขาพูดถึงการลงมือผ่าตัดไส้ติ่งด้วยตนเองว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจไม่รอดจากวิกฤตฉุกเฉินก็ได้ และยังบอกว่า การผ่าตัดตัวเองก็ไม่ต่างกับการผ่าตัดคนไข้อื่น ๆ เท่าไรนัก
หลังหายดีจากการผ่าตัด คุณหมอใจเด็ดรายนี้ใช้เวลาอยู่ที่สถานีวิจัยอีกร่วมปี ก่อนจะเดินทางกลับมายังรัสเซีย เขาได้รับการชื่นชมยกย่องจากทางการ และได้รับรางวัล Order of the Red Banner of Labour เป็นการประกาศเกียรติคุณความกล้าหาญ
ดอกเตอร์เลียวนิด โรโกซอฟ ทำงานเป็นแพทย์ให้โรงพยาบาลในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอีกหลายปีหลังจากนั้น และเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อปี 2000 ในวัย 66 ปี
ภาพจาก bushcraft.cz
ขอบคุณข้อมูลจาก
bbc.com , metro.co.uk