สังศิต พิริยะรังสรรค์ ยกการเมืองไทยยุค 2544-2549 สุดสกปรก ซัดโกงเลือกตั้ง-โกงแต่งตั้งข้าราชการ เตือนคนไทยกลับโลกความจริง ระบุประชาธิปไตยดีแต่ผู้ปกครองต้องมีศีลธรรม ระบุทั่วโลกห้ามนายทุนมาบริหารประเทศหวั่นยิ่งรู้ยิ่งโกงมาก
วานนี้ (6 ตุลาคม 2558) รศ. ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ "สถานการณ์คอร์รัปชั่นและการปฏิรูปของไทย" ในงาน "แผ่นดินไทยใสสะอาด" ตอนหนึ่งว่า ช่วงปี 2544-2549 เป็นช่วงที่การเมืองไทยสกปรกที่สุดประเทศหนึ่งในโลก เพราะเกิดการโกงการเลือกตั้ง โกงการแต่งตั้งข้าราชการ เนื่องจากรัฐบาลเติบโตมาจากการโกงเลือกตั้ง จึงเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ภายใต้เสื้อคลุมที่สวยหรูว่าอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย แต่มีการคอร์รัปชันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้คนดีเกิดความท้อแท้ หมดกำลังใจ เพราะคนไม่ดีคิดว่าตัวเองกำลังทำความดีให้ประเทศ รวมถึงยังกล้าโกหกโดยไม่มีความละอายต่อประชาชน
สำหรับสังคมไทยนั้นตกอยู่ในภาวะวิกฤต แยกไม่ออกว่าใครดีใครชั่ว เพราะคนไม่ดีได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงที่สุดของแต่ละองค์กร เกิดเป็นการโกงทุกหย่อมหญ้า คนในสังคมเกิดความคิดผิดเพี้ยนว่า นักการเมืองโกงไม่เป็นไร แต่ขอให้แบ่งผลประโยชน์ให้บ้างก็พอ จึงอยากเตือนให้คนไทยหันกลับมาอยู่กับโลกของความจริงมากกว่าตกอยู่ในอุดมคติ แม้ระบอบประชาธิปไตยจะดี แต่ผู้ปกครองต้องมีศีลธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ไม่ควรอ้างว่าได้สิทธิ์จากการเลือกตั้งแล้วจะเข้ามาโกงประเทศได้
นอกจากนี้ สิ่งที่เป็นนโยบายที่ฉ้อฉลอย่างร้ายแรงของรัฐบาลที่ผ่านมา คือ การประกาศสงครามกับยาเสพติด เพราะเป็นการจับกุมผู้ค้ารายย่อยซึ่งก็คือผู้เสพเข้าไปขังไว้จนล้นคุก ทั้งที่ควรให้การรักษาและบำบัดให้หายเพราะคนเหล่านี้คือผู้ป่วยไม่ใช่อาชญากร ขณะที่ตัวการใหญ่กลับลอยนวล แต่ครอบครัวคนยากจนกลับบ้านแตกสาแหรกขาด
ทั้งนี้ ทั่วโลกจะห้ามไม่ให้นายทุนเข้ามาบริหารประเทศ แต่รัฐบาลไทยในช่วงหนึ่งกลับริเริ่มสร้างสรรค์การโกงที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน โดยใช้กลไกการตลาดเนื่องจากเป็นกลุ่มทุนที่มีความชำนาญจากตลาดหลักทรัพย์ ยิ่งรู้มากยิ่งโกงประเทศมาก และเข้าแทรกแซงกลไกอิสระจนสร้างความผิดเพี้ยนเกิดความเสียหายยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน คนไทยต้องลุกขึ้นสู้ยืนหยัดเพื่อสร้างสังคมที่โปร่งใสทิ้งไว้ให้ลูกหลาน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
