ชวลิต วิชยสุทธิ์ โต้ สังศิต พิริยะรังสรรค์ ยันการเมืองยุคปี 44-49 เศรษฐกิจลำดับต้นอาเซียน ชี้คอร์รัปชันมีมาทุกยุค พ้อเสียดายประชาชนได้เรียนรู้ประชาธิปไตยน้อยไป เหตุจากการคอร์รัปชันอำนาจ แนะ นำเรื่องเข้า สปท. ดีกว่าจ้องล้างกันทางการเมือง
วันที่ 8 ตุลาคม 2558 จากกรณีที่นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ และสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า ช่วงปี 2544-2549 เป็นช่วงที่การเมืองสกปรกที่สุด และมีการคอร์รัปชันกันอย่างมโหฬาร (อ่านข่าว สังศิต ยกการเมืองยุคปี 44-49 สุดสกปรก ซัดโกงเลือกตั้ง-แต่งตั้งข้าราชการ)
ล่าสุด นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการเพื่อไทย ออกมาตอบโต้นายสังศิต ว่า ถ้า สปท. มีวิสัยทัศน์หรือแนวคิดทางการเมืองเช่นนี้ น่าห่วงใยต่อแนวทางการปฏิรูปประเทศ หากเปรียบเทียบในช่วงดังกล่าวไทยอยู่ในลำดับต้น ๆ ของอาเซียนทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ สามารถเปลี่ยนจากประเทศผู้กู้กลายเป็นประเทศผู้ให้กู้
ซึ่งสวนทางกับปัจจุบัน ที่ธนาคารโลกหรือ World Bank ได้ออกประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ว่า เศรษฐกิจไทยถดถอยต่ำสุดในอาเซียน อัตราการเจริญเติบโตแพ้แม้กระทั่ง ลาว พม่า และกัมพูชา ทั้ง ๆ ที่เรามีพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก ที่สำคัญธนาคารโลกยังพยากรณ์โดยหลักวิชาว่า ไทยจะถดถอยทางเศรษฐกิจอีกไม่ต่ำกว่า 2 ปี
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอยคงไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจโลกปรับตัวลงเพียงอย่างเดียว แต่คงเกิดมาจากระบอบการปกครอง และระบบการเมือง
สำหรับการโกงการเลือกตั้ง การโกงการแต่งตั้งข้าราชการ และการทุจริตคอร์รัปชันนั้น มีมาทุกยุค ซึ่งทุกฝ่ายก็เห็นตรงกัน จึงกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ สิ่งที่สำคัญเราต้องให้ประชาชนได้มีโอกาสเรียนรู้และนำประสบการณ์ไปแก้ไขในรอบของการเลือกตั้งทั่วไป แต่ประเทศไทย 83 ปี หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีที่ยืนให้ฝ่ายประชาธิปไตยอยู่ครบเทอม 4 ปีเพียง 1 ครั้งเท่านั้น เราให้เวลาประชาชนเรียนรู้และพัฒนาประชาธิปไตยน้อยไปหรือไม่
ทั้งนี้ ตนเห็นว่า ปัญหาคอร์รัปชันอำนาจ น่าจะเป็นปัญหาใหญ่สุดที่ นายสังศิต น่าจะนำไปถกใน สปท. มากกว่าจะตามล้าง ตามเช็ดกันทางการเมือง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ แต่กลับจะซ้ำเติมชนวนความขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีก
ภาพจาก PheuthaiParty
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
