ศาลปกครองกลาง รับฟ้อง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คดีขอเพิกถอนคำสั่งไล่ออกจากราชการ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.)
วันที่ 12 ตุลาคม 2558 มีรายงานว่า สำนักงานศาลปกครองกลาง มีหนังสือถึงทีมทนายความของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แจ้งคำสั่งรับฟ้องคดีที่ นายสมศักดิ ์ฟ้องมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ขอเพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ
โดยเนื้อหาคำฟ้องสามารถสรุปได้เป็นรายประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1. เหตุแห่งการไล่ออกจากราชการ
เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2558 นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นจำเลยที่ 1 และ ก.พ.อ. เป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลปกครองกลาง จากกรณีที่มีคำสั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ 356/2558 เรื่องลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป โดยมหาวิทยาลัยยังไม่อนุมัติคำขอไปปฏิบัติงานภายในประเทศเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการ และยังไม่มีคำสั่งอนุมัติหนังสือขอลาออกจากราชการของผู้ฟ้องคดี ต่อมาวันที่ 16 มีนาคม 2558 ผู้ฟ้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ ต่อ ก.พ.อ. แต่เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2558 ก.พ.อ. มีมติให้ยกอุทธรณ์
2. สถานการณ์ก่อนรัฐประหาร ภัยคุกคามต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพ
ก่อนรัฐประหาร ผู้ฟ้องคดีได้ถูกข่มขู่ คุกคาม อย่างร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกาย และเสรีภาพ และถูกแจ้งความดำเนินคดีที่ สน.นางเลิ้ง ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และได้เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในรายละเอียด และต้องหารสู้คดีจนถึงที่สุด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง ต่อมาวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2557 พ.อ. วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ว่าได้ให้ฝ่ายกฎหมายของกองทัพตรวจสอบและจะใช้มาตรการทางสังคมกดดันผู้ฟ้องคดี
จากนั้นวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557 ได้มีคนร้ายไม่ทราบชื่อ 2 คน ใช้อาวุธปืนยิงบ้านของผู้ฟ้องคดีในเวลากลางวันจำนวนหลายนัด เป็นเหตุให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ผู้ฟ้องคดีรู้สึกหวาดกลัว มีผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง เนื่องจากเป็นการพยายามฆ่า
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 ผู้ฟ้องคดียื่นเรื่องขออนุญาตไปปฏิบัติงานภายในประเทศเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการ เรื่องปรัชญาประวัติศาสตร์และสังคมของเฮเกล ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2557-วันที่ 31 กรกฎาคม 2558 โดยทางหัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์มีความเห็นควรอนุมัติให้ผู้ฟ้องคดีลาไปปฏิบัติงานได้ และให้เสนอความเห็นให้คณะกรรมการประจำคณะศิลปศาสตร์ต่อไป ในระหว่างนั้นผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามปกติ
3. สถานการณ์หลังรัฐประหาร
ภายหลังการรัฐประหาร คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกคำสั่ง เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2558 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีไปรายงานตัวตามคำสั่ง คสช. ที่ 5/2557 ซึ่งผู้ฟ้องคดีเห็นว่า เป็นคำสั่งที่ออกมาโดยไม่ชอบด้วย อีกทั้ง คำสั่งดังกล่าวก็ไม่ได้ระบุเหตุผลในการเรียกให้ไปรายงานตัวและไม่ปรากฏผลภายหลังการรายงานตัว ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ไปรายงานตัว
4. เหตุแห่งการไม่ไปรายงานตัว
ผู้ฟ้องคดีให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า การรัฐประหารถือเป็นการกระทำความผิดข้อหากบฏ เป็นการล้มล้างการปกครองประเทศของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ตนจึงไม่ประสงค์จะเข้าร่วมกับ คสช. ไม่ยอมรับอำนาจการรัฐประหารของ คสช. จึงไม่ไปรายงานตัว และตนไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ประกอบกับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ ได้บัญญัติให้บุคคลมีสิทธิ์ต่อต้านโดยสันติ และบุคคลมีหน้าที่จะต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตามมาตรา 69 และมาตรา 70 ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่งของคณะรัฐประหาร
รวมทั้งขณะนั้นยังมีประชาชนออกมาต่อต้านการรัฐประหาร สถานทูตและองค์การระหว่างประเทศได้แสดงความห่วงกังวลและขอให้ประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตยโดยเร็ว และยังไม่ได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งหัวหน้า คสช. แต่อย่างใด จึงอาจเป็นไปได้ว่าการรัฐประหารของ คสช. ยังไม่สำเร็จ หากไปรายงานตัวอาจจะถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มกบฏ และอาจจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในภายหลัง และแม้ว่าภายหลังการรัฐประหารกระทำการสำเร็จ แต่ก็ยังถือว่าเป็นความผิดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เมื่อประเทศกลับไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย คณะรัฐประหารและผู้ที่เข้าร่วมกับการรัฐประหารก็อาจจะถูกดำเนินคดีย้อนหลังได้
นอกจากนี้ผู้ฟ้องคดียังทราบจากสื่อมวลชนว่า บุคคลที่ไปรายงานตัวหรือถูกจับจะถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกเป็นเวลา 7 วัน โดยไม่มีความผิด ซึ่งการควบคุมตัวดังกล่าวจะไม่เปิดเผยสถานที่ควบคุมตัว และไม่ให้ติดต่อกับญาติหรือทนายความ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเยี่ยม ทำให้ไม่ทราบชะตากรรมว่า เมื่อถูกควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกแล้วจะมีความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และจิตใจแค่ไหนอย่างไร หากผู้ฟ้องคดีไปรายงานตัวผู้ฟ้องคดีอาจต้องถูกกักขังอันเป็นการละเมิดเสรีภาพของผู้ฟ้องคดี และอาจจะต้องถูกดำเนินคดีในภายหลังได้ด้วย
ประกอบกับ คสช. ออกประกาศ คสช. ฉบับที่ 29/2557 ให้บุคคลที่ไม่รายงานตัวตามคำสั่ง คสช. เป็นความผิดอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจ และออกประกาศให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาคดีอาญาความผิดตามประกาศคำสั่ง คสช. และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาบางมาตรา ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 ประกอบกับต้องขึ้นศาลทหารทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้น
5. การดำเนินคดีกับผู้ฟ้องคดีไม่มีความชอบธรรม
กรณีที่เกิดขึ้นเห็นได้ว่า หากผู้ฟ้องคดียังอยู่ในประเทศไทยจะต้องถูกข่มขู่คุกคามทั้งโดยกระบวนการทางกฎหมายและที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย จากการที่เห็นต่างกับอำนาจรัฐซึ่งมีที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีจะได้รับภัยอันตรายต่อเสรีภาพและความปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง ทำให้ไม่สามารถอยู่ในประเทศไทยได้ และเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2558 ประเทศฝรั่งเศสได้ให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่ผู้ฟ้องคดี และอนุญาตให้พักอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสอย่างถาวร ตามหลักอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย (Convention Relating to the Status of Refugees)
อีกทั้งผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการเรียกรายงานตัวโดย คสช. ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความขัดแย้งกับตน จะเกิดภัยคุกคามแก่ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ผู้ฟ้องคดีจึงเดินทางออกนอกประเทศ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้อันเป็นเหตุจำเป็นอย่างยิ่ง และหลังการเข้ายึดอำนาจของ คสช. ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดอีก ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ภายใต้การปกครองในระบอบทหารต่อไป
ทั้งยังเห็นได้ชัดว่าการพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติให้ผู้ฟ้องคดีลาไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มพูนความรู้เป็นไปอย่างล่าช้า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2557 ผู้ฟ้องคดีจึงทำหนังสือขอลาออกจากราชการ เพื่อไปประกอบอาชีพใหม่ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2557 ทั้งที่ความจริงแล้ว ผู้ฟ้องคดีประสงค์จะปฏิบัติหน้าที่ราชการต่อไป แต่ในวันเดียวกัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มีคำสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และแม้ผู้ฟ้องคดีจะอุทธรณ์แล้ว แต่ ก.พ.อ. ก็มีมติให้ยกอุทธรณ์
6. ขอให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออกจากราชการ
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า คำสั่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ลงโทษไล่ออกจากราชการ และคำสั่ง ก.พ.อ. ที่ยกอุทธรณ์ เป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย จึงฟ้องร้อง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนคำสั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ 356/2558 เรื่อง ลงโทษออกจากราชการ และขอให้เพิกถอนผลการอุทธรณ์คำสั่งที่ ศธ.0592 (3) 1.9/6266 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2558
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, tlhr2014.wordpress.com
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
tlhr2014.wordpress.com