ไพบูลย์ คุ้มฉายา เผย "ป.ป.ช.-สตง.-ป.ป.ท." ระบุตรงกัน อุทยานราชภักดิ์ใช้งบหลวงกว่า 60 ล้านบาท ชี้ เงินส่วนนี้ใช้ปรับพื้นที่กองทัพก่อนส่งมอบให้สร้าง ยันไม่ได้ละเลยการตรวจสอบ ขออย่าเอาเรื่องคดีอาญา 112 ไปปนกันเพราะเป็นคนละส่วน
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ ว่า ขอยืนยันที่ผ่านมาคณะกรรมการตรวจสอบของกองทัพบก ดำเนินการเป็นการตรวจสอบภายในหน่วยงานแล้ว ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งตั้งกรรมการสอบ ซึ่งเป็นการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอก ในฐานะผู้บังคับบัญชากองทัพบก
ขณะเดียวกันศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระ ก็ทำการตรวจสอบอีกทางหนึ่ง ดังนั้น ถือว่าเรื่องนี้ไม่มีการละเลย แต่ตรวจสอบอย่างเป็นขั้นตอนตามปกติไม่ใช่เพื่อลดกระแสกดดัน ซึ่งต้องรอผลสอบที่จะใช้เวลาอีกสักระยะ หากเร่งรัดมากไม่ใช่เรื่องดี เพราะอาจไม่เป็นธรรมกับบุคคลที่ถูกกล่าวหา
ทั้งนี้ เบื้องต้นตนได้รับรายงานจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) โดยทั้ง 3 หน่วยงานให้ข้อมูลตรงกันว่า มีการใช้งบหลวงกว่า 60 ล้านบาทในการสร้างจริง ส่วนที่ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แถลงว่า ไม่มีการใช้งบหลวงนั้น ส่วนตัวเข้าใจว่าเป็นการตรวจในส่วนตั้งแต่การเริ่มสร้างอุทยานที่เป็นงบบริจาค แต่งบหลวงที่ใช้นั้นเป็นคนละส่วนกับงบบริจาค ซึ่งเงินจากหลวงก้อนนี้ได้นำมาใช้ปรับพื้นที่กองทัพก่อนส่งมอบให้สร้างอุทยาน
อย่างไรก็ตาม ต้องขอทำความเข้าใจกับประชาชน ให้แยกแยะเรื่องอุทยานราชภักดิ์ ในเรื่องทุจริตและความผิดอาญา มาตรา 112 ว่าเป็นคนละส่วนกัน เพียงแต่อาจมีกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันเข้าไปเกี่ยวข้อง การทุจริตที่คาดว่าใช้เงินไม่ถูกต้องเป็นเรื่องหน่วยงานที่ต้องสะสาง ส่วนการแอบอ้างและมีความผิดมาตรา 112 เป็นเรื่องส่วนบุคคล ดังนั้นการตรวจสอบของ ศอตช. และกระทรวงกลาโหม จะตรวจเฉพาะการใช้งบประมาณ ไม่เกี่ยวกับคดีมาตรา 112 ซึ่งตนยอมรับว่า มีความพยายามผูกโยงเรื่องนี้กับเรื่องการเมือง โดยมีกลุ่มการเมืองนำไปเป็นประเด็นให้ผูกพันกับ คสช. รัฐบาล และทหาร ปัญหาทุจริตเป็นเรื่องยากที่จะปราบได้หมด ทุกกรมก็มักพบการใช้งบไม่ถูกต้อง แต่หน่วยงานนั้น ๆ ต้องไปตรวจสอบ
เอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
