สตช. เร่งร่างกฎ ก.ตร. หลักเกณฑ์แต่งตั้งตำรวจ ฉบับใหม่ รองรับตามคำสั่ง คสช. ที่ 44/2558 แก้ปัญหาโยกย้ายไม่เป็นธรรม ปัดเอื้อ "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" ขึ้น พล.ต.ต. พร้อมเตรียมเปิดตำแหน่ง ผบช. ประจำ- ผบก. ประจำ
วันที่ 4 มกราคม 2559 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับรองผู้บังคับการ (รองผบก.)-สารวัตร (สว.) วาระประจำปี 2558 ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการร่างกฎ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ฉบับใหม่ รองรับตามคำสั่ง คสช. ที่ 44/2558 ซึ่งตนได้สั่งการให้ พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. เป็นประะธานคณะทำงานเรื่องนี้ ยืนยันว่าตำรวจพร้อมดำเนินการตามนโยบายของ คสช. อย่างเต็มที่ ส่วนเหตุผลของการแก้ไขนั้น เพื่อแก้ปัญหาการขึ้นในหน่วย และการขึ้นข้ามหน่วย เนื่องจากที่ผ่านมาต้องมีการฟ้องร้องและเยียวยาภายหลังบ่อยครั้ง โดยยืนยันว่าการแก้ไขกฎ ก.ตร. เพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่สร้างปัญหา แต่ยอมรับว่ากติกาบางครั้งก็มีบวก มีลบ
พล.ต.อ. จักรทิพย์ กล่าวอีกว่า จากปัญหาที่กำลังพลของตำรวจมีจำนวนมาก โดยเฉพาะระดับรอง ผบก. และรอง ผบช. ตรงนี้ตนได้นำเสนอในหลักการกับ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ว่า อยากจะใช้แบบหน่วยทหาร ที่มีตำแหน่ง พล.ต. พล.อ. ประจำ มีที่ปรึกษาพิเศษ เพื่อระบายคนไปทางนั้น อาจจะกำหนดชื่อตำแหน่งอย่างไรก็แล้วแต่คณะทำงานของ พล.ต.อ. พงศพัศ จะกำหนดขึ้นมา เพราะบางคนรับราชการมานาน แต่กลับเกษียณแค่ รอง ผบก. ทั้งที่ควรจะเกษียณในตำแหน่ง ผบก. ประจำ ซึ่งตรงนี้เป็นการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาให้กำลังพลกลุ่มนี้ได้รับพระราชทานยศก่อนเกษียณ ไม่มีอะไรแอบแฝงอย่างที่มีการวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าการร่างกฎ ก.ตร. นี้เพราะต้องการเอื้อคนรอบข้างผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะ พล.ต.ต. สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว (ผบก.ทท.) นั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับวาสนา คนเป็น พล.ต.ต. ก่อนใช่ว่าจะได้เป็น พล.ต.อ. ก่อน เพราะต้องมีองค์ประกอบหลายประการ และไม่ใช่มีแค่คนเดียวยังมีอีกหลายคน แต่กลับไปเจาะจงเฉพาะบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ ของแบบนี้แล้วแต่บุญวาสนา ซึ่ง พล.ต.ต. สุรเชษฐ์ อาจจะถูกตั้งกรรมการสอบสวนก่อนก็ได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นมากมายในยุคที่ผ่านมา
พล.ต.อ. จักรทิพยย์ ยังระบุว่า การแก้กฎ ก.ตร. เป็นการแก้ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้าย อย่าง บช.ภ.1 ที่มีคนรอขึ้น เมื่อครบขึ้นแต่ไม่ได้ขึ้นก็ไปฟ้องศาล เพราะกฎระบุว่าห้ามขึ้นข้ามหน่วย ซึ่งก็จะต้องมีการเยียวยาอีก อย่าง บช.น. มีตำแหน่งว่าง 10 ตำแหน่ง มีคนรอขึ้น 30-40 นาย แต่ บช.ภ.3 และ บช.ภ.4 พื้นที่ใหญ่มีตำแหน่งว่าง 80-90 ตำแหน่ง แต่มีคนครบขึ้นเพียงแค่ 20 ตำแหน่ง จะทำอย่างไร เพราะกฎระบุว่าห้ามขึ้นข้ามหน่วย จึงต้องมีการแก้ไขกฎ ก.ตร. ในส่วนนี้ ส่วนกรณีจำนวนปีที่มีการบวกเพิ่มอีก 1 ปี นั้น ตนเห็นว่าที่ผ่านมาก็มีการบวกลบทุกปีอยู่แล้ว ยุคนี้รัฐบาลนี้อาจจะบวก 1 ปี คราวหน้ารัฐบาลใหม่เข้ามาอาจจะมีการปรับเปลี่ยนให้ลบก็ได้ แต่ครั้งนี้มีทั้งบวกทั้งลบ อย่างระดับบนลดจำนวนปีลง ซึ่งอาจจะไปเร็วในช่วงหลัง คนรุ่นหลังอาจจะได้เปรียบด้วยซ้ำ
ส่วนแนวคิดแยกพนักงานสอบสวนออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว เพราะมองว่างานสอบสวน และงานสืบสวนไม่ควรแยกออกจากกัน เนื่องจากจะทำให้เกิดปัญหาในการทำงานและการทำสำนวนการสอบสวน เพราะพนักงานสอบสวนจะไม่กล้ารับพยานหลักฐานจากฝ่ายสืบสวนที่อยู่คนละหน่วย ขณะเดียวกันการนำพยานหลักฐานเข้าสู่สำนวนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ขนาดเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยกันในบางครั้งยังต้องอธิบายกันนาน
