จากข่าวที่วัยรุ่นหัวหิน ยกฟวกกันกระทืบฝรั่งที่มาเที่ยวงานสงกรานต์ จนกลายเป็นข่าวดังทั้งในเมืองไทยและทั่วโลก และก่อให้เกิดกระแสวิจารณ์ต่าง ๆ ตามมามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่คนไทยจัดงานสงกรานต์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่สุดท้าย กลับมีคนมาทำภาพลักษณ์ของไทยป่นปี้
"หลายวันก่อนเพื่อนมองโกเลียส่งคลิปคนถูกทำร้าย ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องในวันสงกรานต์ที่หัวหิน วันนี้ผมอดไม่ได้ที่จะแสดงความรู้สึกต่อการรุมทำร้ายร่างกายคนที่ไม่รู้จักกันเลย ในงานที่ทุกคนกำลังแสดงความมีมิตรไมตรีต่อกัน ต่อทุกคนที่มาเยี่ยมเยียนบ้านเรา โดยเฉพาะแขกจากแดนไกล
ผมรู้สึกโกรธแค้นคนทำผิด และเสียใจต่อครอบครัวชาวอังกฤษนี้ ความเป็นคนไทยที่มีน้ำใจ และวัฒนธรรมที่ดีงามแต่โบราณถูกทำลายโดยคนคึกคะนองไม่กี่คน สังคมไทยกำลังเดินไปบนเส้นทางที่ใคร ๆ จะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ เมื่อถูกจับได้ก็นำดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมาแล้วก็กลับไปทำความผิดเช่นเดิมอีก จนกลายเป็นค่านิยมของคนใฝ่ต่ำที่ขยายตัวเป็นดอกเห็ดในสังคมปัจจุบัน
ตอนนี้ควรถึงเวลาที่รัฐบาลซึ่งมีอำนาจในการตั้งกฎหมายที่เด็ดขาดมาลงโทษอย่างหนักจนถึงขั้นประหารชีวิต ต่อเดนคนที่ชอบเป็นนักเลงทำร้ายผู้คนอื่น ๆ จนบางคนถึงแก่เสียชีวิต วันนี้สังคมไทยต้องเลิกใจบุญ และสงสารคนเลวที่แก้ไม่ได้ ที่คนไทยต้องเสียภาษีเพื่อดูแลคนเหล่านี้ในคุก ประเทศกำลังล้าหลังถอยหลังลงคลอง สังคมไม่ควรเก็บคนเลวไว้ทำร้ายผู้อ่อนแออีกต่อไป พฤติกรรมที่เลวร้ายเช่นนี้จะไม่เห็นในสิงคโปร์เพราะกฎหมายเขาเข้มแข็งเด็ดขาดกับคนเลว ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องเปลี่ยนแปลง ก่อนที่เราจะไม่มีประเทศให้ได้เปลี่ยนครับ"
เรื่องนี้ก่อให้เกิดเสียงแตกเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็เห็นด้วยที่ว่า คนเหล่านี้มักจะเป็นคนที่กระทำผิดซ้ำ ๆ หากไม่มีบทลงโทษที่รุนแรง พวกเขาก็จะไม่หลาบจำ และกระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคนอื่นเดือดร้อน ในขณะที่อีกฝ่ายมองว่า การกำหนดบทลงโทษที่รุนแรง จะยิ่งทำให้ผู้กระทำผิด กระทำการที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากไม่มีช่องทางให้พวกเขายืน การสร้างบทลงโทษที่รุนแรง จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด
ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Vikrom Kromadit วิกรม กรมดิษฐ์