ทนายความวัดพระธรรมกาย ยื่นดีเอสไอชะลอหมายจับพระธัมมชโย รอผลการพิจารณาคำสั่งยกคำร้องขอเพิกถอนหมายของศาลอุทธรณ์
ล่าสุด วันที่ 28 พฤษภาคม 2559 โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ที่ออกมาเปิดเผยความคืบหน้ากับสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวพระธัมมชโย วานนี้ (27 พฤษภาคม) นายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความวัดพระธรรมกาย ได้ยื่นอุทธรณ์กระบวนการพิจารณาของศาล กรณีที่ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องขอเพิกถอนหมายจับต่อศาลอุทธรณ์แล้ว ซึ่งขั้นตอนอยู่ระหว่างการรอฟังคำสั่งของศาล
ส่วนอีกประเด็น คือ คณะแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษาพระธัมมชโย ได้ยื่นเรื่องไปยังแพทยสภาส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานกลางมาตรวจพิสูจน์เป็นการยืนยันว่าพระธัมมชโยอาพาธจริง ซึ่งเรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างรอการพิจารณาของแพทยสภา
ทั้งนี้ นายองอาจ กล่าวยืนยันว่า วัดพระธรรมกายและคณะศิษยานุศิษย์ยึดถือกฎหมายเป็นสำคัญ ไม่มีเจตนารมณ์ที่จะก่อความวุ่นวาย หรือกระทำผิดกฎหมายใด ๆ และหากมีความวุ่นวายหรือการกระทำที่ผิดกฎหมายเกิดขึ้น ขอให้รู้เลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การกระทำของคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ นายองอาจ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงยุติธรรม ประสานงานไปยังเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีว่า สำหรับเรื่องนี้ ตนยังไม่ทราบความคืบหน้า แต่เท่าที่ทราบคือก่อนหน้านี้ได้มีเจ้าคณะปกครอง ตั้งแต่ระดับหลวงพ่อเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และรองเจ้าคณะจังหวัด ได้เดินทางมาเยี่ยมอาการอาพาธของพระธัมมชโยแล้ว ซึ่งทุกท่านก็ทราบดีว่า พระธัมมชโยอาพาธจริง
ส่วนประเด็นที่ นพ.มโน เลาหวณิช ได้แนะนำให้ดีเอสไอขอให้ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา รวมถึงการบอกพิกัดของพระธัมมชโย รวมถึงการบอกว่า พระธัมมชโยได้มีลูกศิษย์ตั้งโล่มนุษย์เพื่อป้องกันการถูกจับกุมนั้น ทางคณะศิษยานุศิษย์ขอตั้งข้อสังเกต 2 ประการ คือ
1. นพ.มโน มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้
2. ดีเอสไอเชิญ นพ.มโน ไปให้ข้อมูลในฐานะอะไร ที่สำคัญ นพ.มโน มีความน่าเชื่อถือเพียงใด เนื่องจากก่อนหน้านี้ นพ.มโน ได้ออกมากล่าวโจมตีสมเด็จช่วงอย่างหนัก แต่จู่ ๆ กลับไปเสนอให้สมเด็จช่วงมาเป็นผู้เจรจา จึงอยากขอให้ดีเอสไอออกมาชี้แจงประเด็นเหล่านี้ด้วย
อย่างไรก็ดี นายองอาจ ยังกล่าวทิ้งท้ายไว้อีกว่า ทางวัดพระธรรมกายไม่หวั่นถูกตัดน้ำ-ไฟ ตัดอาหาร หรือสกัดมวลชนเข้ามาที่วัด เพราะหากทำจริงก็ถือว่าเป็นการฝึกขันติ และความอดทน
ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Ittipat NewsReport