เผยภาพกล้องวงจรปิด เป็นชายชาวตะวันออกกลางหรือแขกขาว ต้องสงสัยก่อเหตุปล่อยไวรัสแฮกตู้ ATM ธนาคารออมสิน กวาดเงิน 12 ล้านบาท พบมีผู้ต้องสงสัย 5 ราย และบางส่วนเดินทางออกนอกประเทศแล้ว
จากกรณีแก๊งคนร้ายก่อเหตุแฮกข้อมูลจากตู้ ATM ธนาคารออมสิน ด้วยการปล่อยไวรัสมัลแวร์ (Malware) และกดเงินไป 12 ล้านบาท จนทำให้ธนาคารออมสินต้องประกาศปิดให้บริการตู้ ATM บางส่วน [อ่านข่าว : เร่งล่าโจรไฮเทค ปล่อยมัลแวร์แฮกตู้ ATM ออมสิน กวาดเงิน 12 ล้าน]
เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2559 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. ปัญญา มาเม่น ที่ปรึกษา (สบ 10) กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามแก๊งคนร้ายที่ก่อเหตุแฮกข้อมูลจากตู้ ATM ธนาคารออมสิน ว่า จากการสืบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจรู้ตัวคนร้ายที่ก่อเหตุแล้วเป็นชาวยุโรปตะวันออก จำนวน 5 คน และพบว่า คนร้ายกลุ่มนี้ เคยก่อเหตุลักษณะนี้ที่ประเทศไต้หวันเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และยังคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซียเมื่อปี 2557 ส่วนจะมีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม
พล.ต.อ. ปัญญา กล่าวต่อว่า คนร้ายกลุ่มนี้ได้ลงมือโจรกรรมเงินในตู้ ATM ตั้งแต่พื้นที่ จ.ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และกรุงเทพฯ รวมทั้งหมด 21 ตู้ มูลค่าความเสียหาย 12,291,000 บาท ส่วนตู้ ATM ที่ทางธนาคารออมสิน สั่งตรวจสอบ จำนวน 200 ตู้ ปรากฏว่า ไม่พบการถูกโจรกรรมเพิ่ม
สำหรับตู้ ATM ที่มีเงินหายไปนั้น พบว่า เป็นตู้ที่ถูกคนร้ายกลุ่มนี้ปล่อยไวรัสมัลแวร์เอาไว้ ก่อนจะนำบัตรที่เชื่อว่าเป็นบัตรที่ผลิตในประเทศยูเครนเสียบเข้าไปที่ตู้ ATM จากนั้นเงินก็จะไหลออกมา โดยบางตู้ไหลออกมาจำนวนหลักหมื่น ขณะที่บางตู้มีเงินออกมามากกว่านั้น
พล.ต.อ. ปัญญา กล่าวอีกว่า ได้สั่งการให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และตำรวจภูธรภาค 8-7 และนครบาล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คนร้ายก่อเหตุมาประชุมและตรวจสอบร่วมกัน พบว่า กลุ่มคนร้ายเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยรวม 5 ครั้ง และหลังก่อเหตุคนร้ายบางส่วนได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว
แต่อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งรวบรวมหลักฐาน เพื่อออกหมายจับคนร้ายบางส่วนที่ยังอยู่ในประเทศไทย รวมถึงคนร้ายบางส่วนที่เดินทางออกนอกประเทศไป เพราะเชื่อว่า คนร้ายกลุ่มนี้อาจเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้ง เพราะคิดว่าประเทศไทยไม่สามารถรู้ตัวคนกระทำได้
นอกจากนี้ ในวันที่ 26 สิงหาคม จะมีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 และ 8 ร่วมกับตัวแทนธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อหารือแนวทางป้องกันและการติดตามตัวคนร้ายต่อไป
