สำนักข่าวอิศรา เปิดข้อมูล อบจ.บุรีรัมย์ อนุมัติงบ 60 ล้านบาท ให้สมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ขนคนเชียร์ทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ของเนวิน ชิดชอบ ด้าน สตง. สั่งคืนเงินทั้งหมด จี้หาตัวผู้รับผิดชอบ
กลายเป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง หลังเรื่องเงียบหายไปตั้งแต่ปี 2556 สำหรับกรณีที่ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยืนยันว่า นางกรุณา ชิดชอบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) บุรีรัมย์ จะต้องคืนเงิน จำนวน 60 ล้านบาท ที่ อบจ.บุรีรัมย์ มีการเบิกจ่ายให้สมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อพาคนไปเชียร์ฟุตบอลทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ติดต่อกัน 3 ปี ซึ่งเป็นการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ ตามมาตรา 45 พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด 2540
ก้อนแรก : มีการเบิกจ่ายจำนวน 3 ครั้ง
- วันที่ 4 ตุลาคม 2553 จำนวน 5 ล้านบาท
- วันที่ 24 พฤศจิกายน 2553 จำนวน 5 ล้านบาท
- วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 จำนวน 10 ล้านบาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20 ล้านบาท
โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพบว่า การเบิกจ่ายเงินทั้ง 3 ครั้ง มาจากเงินอุดหนุนประจำปีงบประมาณ 2554 ผ่านโครงการส่งเสริมและพัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศ ให้กับสมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งตามวัตถุประสงค์โครงการเพื่อให้การศึกษาแก่เด็ก เยาวชน ประชาชน และบุคลากรกีฬา ได้เดินทางไปศึกษาดูงานเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการแข่งขันกีฬาฟุตบอล หรือกีฬาประเภทต่าง ๆ ภายในประเทศ หรือจังหวัดต่าง ๆ เพื่อพัฒนาเป็นนักกีฬาอาชีพในอนาคต และเพื่อส่งเสริมพัฒนามาตรฐานกีฬาฟุตบอลและกีฬาประเภทต่าง ๆ ของจังหวัดบุรีรัมย์ให้สูงขึ้น
แต่ปรากฏว่า สมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ได้นำเงินอุดหนุนที่ได้รับไปจ่ายเป็นค่าพาหนะ เพื่อพาเด็ก เยาวชน ประชาชน และบุคลากรกีฬาไปชมและเชียร์ฟุตบอลทีมบุรีรัมย์ เอฟซี และทีมบุรีรัมย์ PEA ซึ่งเข้าแข่งขันรายการต่าง ๆ รวม 47 ครั้ง เป็นเงิน 19,735,500 บาท ส่วนเงินที่เหลือจำนวน 264,500 บาท ทางสมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ส่งคืน อบจ.บุรีรัมย์
ทั้งนี้ สตง.บุรีรัมย์ พิจารณาแล้วเห็นว่า กิจกรรมโดยการนำเด็ก เยาวชน ประชาชน และบุคลากรกีฬา ไปชมและเชียร์การแข่งขันฟุตบอลอาชีพดังกล่าว ไม่ได้เป็นการศึกษาหรือการเพิ่มพูนความรู้เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศแต่อย่างใด และไม่ใช่ภารกิจที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ อบจ.บุรีรัมย์ ตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด 2540 มาตรา 45 รวมทั้งยังไม่เข้าข่ายมาตรา 17 (18) แห่ง พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. 2542 ที่กำหนดให้ อบจ. มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนในการส่งเสริมการกีฬา
นอกจากนี้ การให้การสนับสนุนแก่ประชาคม องค์กรประชาชน ตามประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. เรื่องกำหนดอำนาจและหน้าที่ ในการจัดระบบบริการสาธารณะของ อบจ. ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2546 และลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552 ควรเป็นไปในลักษณะของการส่งเสริมความสามารถดำเนินการ โดยใช้ศักยภาพของตนเองในการบริหารจัดการในลักษณะของการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผลประโยชน์
และการอุดหนุนสมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ตามโครงการดังกล่าวจึงไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การตั้งงบประมาณหมวดเงินอุดหนุนตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ด่วนมาก ที่ มท 0808.2/ว 74 ลงวันที่ 8 มกราคม 2553
ดังนั้น สตง. เห็นควรให้เรียกเงินที่ไม่ถูกต้องจำนวน 19,992,000 บาท ส่งคืน อบจ.บุรีรัมย์ โดยเร็ว เบื้องต้น สตง.บุรีรัมย์ ได้ส่งหนังสือแจ้งถึงนางกรุณา ชิดชอบ นายก อบจ.บุรีรัมย์ เป็นทางการเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2556
ก้อนที่ 2 : มีการเบิกจ่ายจำนวน 2 ครั้ง
- วันที่ 25 ตุลาคม 2554 จำนวน 10 ล้านบาท
- วันที่ 14 พฤษภาคม 2555 จำนวน 10 ล้านบาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20 ล้านบาท
สำหรับกรณีนี้ สตง. ตรวจสอบพบว่า มีการเบิกจ่ายเงิน 2 ครั้ง มาจากเงินอุดหนุนโครงการส่งเสริมและพัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศ ปีงบประมาณ 2555 จากการตรวจสอบพบว่า สมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ได้นำเงินอุดหนุนที่ได้รับไปจ่ายเป็นค่าพาหนะ เพื่อพาเด็ก เยาวชน ประชาชน และบุคลากรกีฬา ศึกษาดูงานเกี่ยวกับการแข่งขันกีฬาฟุตบอลตามจังหวัดต่าง ๆ รวม 35 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 19,992,000 บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 8,000 บาท มีการส่งคืนให้ อบจ.บุรีรัมย์ เหมือนเช่นเงินก้อนแรก
ทั้งนี้ สตง. ได้สั่งให้มีการเรียกเงินที่เบิกจ่ายไม่ถูกต้องจำนวน 19,992,000 บาท ส่งคืน อบจ.บุรีรัมย์ โดยส่งหนังสือแจ้งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้รับทราบอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556
ก้อนที่ 3 : มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณตามฎีกาที่ 137/2556 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 จำนวน 20 ล้านบาท เพื่ออุดหนุนให้สมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ตามโครงการส่งเสริมและพัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศ
โดย สตง. ตรวจสอบพบว่า สมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ นำเงินอุดหนุนที่ได้รับไปใช้จ่ายเป็นค่าอาหาร ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าป้ายประชาสัมพันธ์ และค่าพาหนะในการจ้างเหมารถยนต์ เพื่อนำเด็ก เยาวชน ประชาชน และบุคลากรกีฬา เดินทางไปชมและเชียร์ฟุตบอล ทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เข้าแข่งขัน ตามจังหวัดต่าง ๆ รวม 16 ครั้ง ๆ ละ ประมาณ 500-4,950 คน เป็นเงิน 20 ล้านบาท
ซึ่งหลังจากทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ทาง สตง. ได้สั่งการให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และหาผู้รับผิดชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 20 ล้านบาท รวมทั้งดำเนินการตามควรแก่กรณีกับผู้ที่มีส่วนร่วมทำให้เกิดความเสียหายดังกล่าว
นอกจากนี้ มีรายงานเพิ่มเติมระบุว่า สตง.บุรีรัมย์ เคยทักท้วง อบจ.บุรีรัมย์ กรณีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปีละ 20 ล้านบาท เพื่ออุดหนุนสมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ตามโครงการส่งเสริมและพัฒนาการกีฬาสู่ความเป็นเลิศ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 แล้ว แต่ อบจ.บุรีรัมย์ ยังคงตั้งงบประมาณ และเบิกจ่ายเงินให้สมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ตามโครงการดังกล่าวเช่นเดิม
เบื้องต้น สตง.บุรีรัมย์ ได้ส่งหนังสือแจ้งถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้รับทราบอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558
สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้มีการตั้งข้อสังเกตเทียบเคียงกับกรณีของนายอนุสรณ์ นาคาศัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นน้องชายนายอนุชา นาคาศัย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชัยนาท พรรคไทยรักไทย และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูก สตง. ชี้มูลความผิดจากกรณีการอนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณ หมวดเงินอุดหนุนสนับสนุนสมาคมกีฬาจังหวัดชัยนาท ที่มีนายอนุสรณ์ เป็นนายกสมาคม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพของสโมสรฟุตบอลจังหวัดชัยนาท ที่นายอนุสรณ์เป็นผู้จัดการทีม และเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมแข่งขันชกมวยสากลระดับโลก รวมจำนวนเงิน 44,800,000 บาท
รวมทั้งยังมีการเบิกจ่ายเงินจำนวน 10,070,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการมหกรรมรวมพลังสร้างสุขภาพในวันอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) แห่งชาติ ประจำปี 2554 ของ อบจ.ชัยนาท ก็ไม่สามารถเบิกจ่ายได้เช่นกัน เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในจังหวัดสามารถดำเนินการได้เอง
ซึ่งในเวลาต่อมา สตง. ได้ทำหนังสือถึงองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท ให้นำเงินจำนวน 54,870,000 บาท ส่งคืนคลัง อบจ.ชัยนาท และพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย
แต่ในกรณีนางกรุณา ชิดชอบ นายก อบจ.บุรีรัมย์ กลับไม่ถูกคำสั่งหัวหน้า คสช. ระงับการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเข้าสู่กระบวนการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือสอบสวน เพื่อดําเนินการทางวินัยของหน่วยงานต้นสังกัด
ภาพจาก เฟซบุ๊ก BURIRAM UNITED
ภาพและข้อมูลจาก สำนักข่าวอิศรา
