คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติยกคำร้องถอดถอน อดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีเผิดเฉยต่อหน่วยงานภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างไม่เปิดเผยราคากลาง แจงไม่มีหลักฐานมัดการกระทำผิด
วันที่ 7 ตุลาคม 2559 นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยผลการพิจารณาถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ตามที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ถอดถอน กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 103/7 และมาตรา 103/8 ในการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดทำข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างและประกาศราคากลางในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์
จากการไต่สวนพบว่า ตามที่ ป.ป.ช. มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ปช0028/0053 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2554 ถึงอดีตนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ เรื่อง การให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจดูได้นั้น
ผู้ถูกกล่าวหามิได้เพิกเฉยต่อคำทักท้วงของ ป.ป.ช. และมีบัญชาให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบโดยจัดเข้าวาระการประชุมในวันที่ 13 ธันวาคม 2554 และคณะรัฐมนตรีในการประชุมวันดังกล่าว มีมติให้หน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาหรือการกำกับดูแลของฝ่ายบริหารเร่งรัดจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง ให้สอดคล้องกับกฎระเบียบที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันโดยเคร่งครัด และมอบหมายให้กระทรวงการคลังรับรายงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ภายหลังจาก ครม. มีมติดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ปช0028/0015 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงอดีตนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ อีกฉบับ และยืนยันว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 13 ธันวาคม 2554 นั้นไม่สอดคล้องกับมาตรา 103/7 วรรคหนึ่ง ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ นร 0505/6806 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2555 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าผู้ถูกกล่าวหาได้มีคำสั่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอความเห็นกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2554 ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1)ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวและมีความเห็นปรากฏตามเรื่องเสร็จที่ 663/2555 สรุปได้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติตามมาตรา 103/7 วรรคหนึ่งได้ สิ่งที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเป็นเพียงมาตรการที่เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 19 (11) เท่านั้น
อย่างไรก็เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2555 คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปหารือร่วมกับคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อหาแนวทางการปฏิบัติในการตอบสนองมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลและคณะกรรมการ ป.ป.ช.
และมีมติร่วมกันเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 ว่า ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติตามแนวทางการเปิดเผยราคากลาง เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างตามแนวทางที่กระทรวงคลังเสนอ หากหน่วยงานใดมีความพร้อมให้ดำเนินการทันที ส่วนหน่วยงานใดที่ยังไม่มีความพร้อมให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ ครม. มีมติเห็นชอบ
ทั้งนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่าง ๆ แล้ว เห็นว่าผู้ถูกกล่าวยังไม่มีพฤติการณ์ที่ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 ตามคำร้องขอให้ถอดถอน คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Y.Shinawatra
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก nacc.go.th, isranews