แพทย์ไขปมฆ่ารัดคอด้วยวิธีขันชะเนาะ เพียง 2-4 นาที ทำให้เกิดภาวะสมองตายได้ หากถูกอวัยวะสำคัญ ชี้ฆาตกรรม "สาวทอม" ไม่ใช่คดีแรก ก่อนหน้านี้มีคดีสังหารแบบเดียวกัน กรณีการสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตคดีอุ้มฆ่า นางสาวสุภัคสรณ์ พลไธสง สาวทอม ซึ่งเจ้าหน้าที่มุ่งประเด็นเชิงชู้สาวเป็นหลัก และคาดว่าแก๊งอุ้มจับฆาตกรรมด้วยการขันชะเนาะลำคอจนเสียชีวิต ก่อนนำไปสู่การอำพรางศพด้วยการจับโบกปูนฝังดินภายในรีสอร์ทร้าง จ.กาญจนบุรี ทำให้บางคนอาจสงสัยว่าการขันชะเนาะคืออะไร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (14 มกราคม 2560) เดลินิวส์ออนไลน์ รายงานว่า เว็บไซต์สุขภาพกับการปฐมพยาบาลได้ให้ข้อมูลถึงเรื่องนี้ว่า "การขันชะเนาะ" ในวงการแพทย์และอาสาสมัครกู้ภัยจะใช้สำหรับเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพราะเป็นการห้ามเลือดโดยการรัด ส่วนใหญ่มักจะใช้ผ้ามากกว่าวัสดุอื่น ซึ่งการขันชะเนาะจะห้ามไม่ให้เลือดไหลออกจากหลอดเลือดแดงบริเวณบาดแผล ใช้สำหรับบาดแผลตามแขน ขา ในกรณีที่บาดแผลนั้นจะเป็นเหตุให้เสียชีวิตเพราะเสียเลือดมากเท่านั้น
ทั้งนี้ นพ.อภิสันต์ บุญประดับ ผอ.โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ได้เผยความรู้ดังกล่าวเชื่อมโยงกับคดีสาวทอมด้วยว่า สำหรับการรัดคอด้วยวิธีดังกล่าวจะทำให้เสียชีวิตได้อยู่แล้ว เนื่องจากบริเวณลำคอเป็นอวัยวะที่ประกอบไปด้วย 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ เส้นเลือดแดงใหญ่และหลอดลม ซึ่งหากแรงรัดและแรงกดถูกบริเวณเส้นเลือดแดงใหญ่ นาน 5-10 นาที จะเกิดภาวะสมองขาดเลือด อาจจะสลบไปเพราะมีอาการหน้ามืด แต่หากรัดถูกบริเวณหลอดลมมากกว่า ระยะเพียง 2-4 นาทีสมองจะขาดอากาศและตายได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม วิธีฆาตกรรมสาวทอมไม่ใช่คดีแรกที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ก่อนหน้านี้เคยมีการฆาตกรรมด้วยการขันชะเนาะรัดคอมาแล้วเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2559 โดยนางสุณี ดอว์เนอร์ อายุ 36 ปี ภรรยานักธุรกิจชาวอังกฤษ ถูกชายคนสนิทก่อเหตุสังหาร ทิ้งศพหมกบ้านของตนเองที่ จ.อุดรธานี สภาพศพถูกรัดคอด้วยเชือกสีแดงแบบขันชะเนาะกับท่อนไม้ด้านหลัง ทำให้ขาดอากาศหายใจแบบเฉียบพลัน ก่อนที่คนร้ายจะรื้อค้นขโมยทรัพย์สินไปจำนวนมากจนกลายเป็นข่าวใหญ่ ซึ่งต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายเอาไว้ได้ โดยผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นกิ๊กกับผู้ตายมานาน และลงมือทำไปด้วยความหึงหวง (อ่านข่าว : รวบแล้ว ชายชู้ฆ่ารัดคอเมียฝรั่งดับ สารภาพหึงหวง กลัวปันใจให้ชายอื่น)
ภาพจาก
sahavicha.comอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก