x close

เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม "คดีครูแพะ" ทำไมเธอถึงติดคุก ?



          เปิดคำพิพากษาคดี "ครูแพะติดคุกฟรี" ฉบับเต็ม ๆ  เผยรายละเอียดจากพยานระบุชัด คนขับชนเป็นผู้ชาย

          เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2560 บนเฟซบุ๊กเพจ Drama-Addict ได้มีการเผยแพร่รายละเอียดบันทึกคำพิพากษาของศาลฎีกา ในคดีนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตครูวัย 54 ปี ต้องโทษจำคุกในคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต เป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน
รายละเอียดคำพิพาษามีดังนี้

เรื่อง ความผิดต่อชีวิต ประมาท ความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก
ระหว่าง พนักงานอัยการศาลฎีกา โจทก์  กับ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร จำเลย


          โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยขับรถกระบะหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ไปตามทางเดินรถถนนสายธาตุน้อย-นาเหนือ จากทางบ้านธาตุน้อยมุ่งหน้าไปทางบ้านนาเหนือ ถึงที่เกิดเหตุบริเวณบ้านสร้างเม็ก ซึ่งมีเครื่องหมายจราจรแบ่งทางเดินรถออกเป็นสองทางสำหรับรถเดินขึ้นทางหนึ่ง ล่องทางหนึ่ง ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์

          กล่าวคือ ขณะนั้นนอกจากทัศนวิสัยในการขับขี่ไม่ดีมองเห็นได้ในระยะใกล้กันเท่านั้น จำเลยต้องไม่ขับรถคันดังกล่าวด้วยความเร็วสูงเกินสมควรจนไม่สามารถหยุดรถได้ทัน หรือชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงพอที่จะขับรถหลบหลีกไม่ชนรถคันอื่นที่กีดขวางอยู่ข้างหน้าได้ทัน และในการที่จำเลยจะขับรถแซงหน้ารถจักรยานยนต์ซึ่งมีผู้มีชื่อขี่แล่นอยู่ในช่องเดินรถเดียวกับจำเลย จำเลยควรใช้ความระมัดระวังในการขับรถดังกล่าวด้วยการชะลอความเร็วรถให้ช้าลง และเมื่อเห็นว่าทางเดินรถข้างหน้าปลอดภัยเพียงพอและไม่มีรถอื่นสวนทางมา จึงค่อยขับรถแซงหน้าขึ้นไป

          ทั้งนี้โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น ซึ่งจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จำเลยกลับขับรถดังกล่าวสูงเกินสมควร โดยไม่ชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงพอที่จะหยุดรถได้ทัน หรือขับรถหลบหลีกไม่ให้ชนรถคันอื่นได้ และได้ขับแซงขึ้นหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้มีชื่อซึ่งแล่นอยู่ข้างหน้าทางเดินรถของจำเลยล้ำเส้นแบ่งครึ่งของถนนเข้าไปในช่วงเดินรถสวนกัน ซึ่งในขณะนั้นมีนายเหลือ พ่อบำรุง ขี่รถจักรยานสองล้อสวนมาในช่องเดินรถสวน เป็นเหตุให้รถคันที่จำเลยขับชนรถจักรยานสองล้อคันที่นายเหลือขี่สวนทางมา ทำให้รถจักรยานสองล้อดังกล่าวได้รับความเสียหาย นายเหลือถึงแก่ความตาย

          เมื่อจำเลยขับรถกระบะคันดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของบุคคลอื่นแล้ว จำเลยไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร และไม่ไปแสดงตัวตนและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที เหตุเกิดที่ตำบลทางลาด อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 47, 78 157, 160

จำเลยให้การปฏิเสธ

          ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) (8), 47, 78 (ที่ถูก มาตรา 78 วรรคหนึ่ง), 157, 160 วรรคหนึ่งและวรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานขับรถโดยประมาทอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือเดือดร้อนของบุคคลอื่น ขับรถแซงรถเข้าไปในเส้นกึ่งกลางของทางเดินรถในขณะมีรถอื่นสวนทางมา และประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอันเป็นบทที่มีอัตราโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา และไม่ไปแสดงตัวกับแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 2 เดือน

จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง



โจทก์ฎีกา

          ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีผู้ขับรถยนต์ชนจักรยานที่นายเหลือ พ่อบำรุง ผู้ตายขี่ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายและรถจักรยานได้รับความเสียหาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่

          โจทก์มีนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ มาเป็นพยานเบิกความว่า รถกระบะแล่นแซงหน้ารถจักรยานยนต์ที่พยานขับล้ำเข้าไปชนกับรถจักรยานที่ผู้ตายขี่สวนมา แล้วคนขับรถกระบะหยุดรถ พยานหันหน้ารถจักรยานยนต์เพื่อให้ไฟหน้าส่องไปที่บริเวณที่เกิดเหตุ พบว่ารถกระบะมีหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร และเห็นคนขับเป็นผู้ชายเปิดประตูลงมาไปดูผู้ตาย พยานก็ขี่รถจักรยานยนต์ออกไป

          กับมีนายทวีเลิศ ทรายทอง มาเป็นพยานเบิกความว่า มีผู้มาเล่าให้ฟังว่ารถกระบะหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ขับแซงรถจักรยานยนต์ไปชนรถจักรยานที่ผู้ตายขี่ วันรุ่งขึ้นมาเล่าเหตุการณ์ให้พยานฟังและบอกว่าเห็นผู้ชายลงมาจากรถกระบะ นอกจากนั้นโจทก์ยังมีพันตำรวจตรี ทนงศักดิ์ โพธิ์โหน่ง พนักงานสอบสวน มาเป็นพยานเบิกความว่า ตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถกระบะคันดังกล่าว ทราบว่านายประพัฒน์ แสนเมืองโคตร เป็นเจ้าของ จึงแจ้งให้นำรถยนต์มาตรวจสอบ นายประพัฒน์แจ้งว่าซื้อรถดังกล่าวมาจากจำเลยในวันเกิดเหตุ แต่จำเลยยืมรถไปใช้แล้วไม่นำมาคืน

          เมื่อนายประพัฒน์ไปรับรถในวันรุ่งขึ้นก็พบรอยครูดใหม่บริเวณใกล้โคมไฟหน้าด้านซ้าย และร้อยตำรวจเอก ทศพล ธรรมวงศ์ ผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุ มาเป็นพยานเบิกความว่า พยานตรวจพิสูจน์ร่องรอยการเฉี่ยวชนรถกระบะดังกล่าว พบรอยครูดเก่าและรอยครูดใหม่ด้านหน้าลากไปถึงกระจกมองข้างด้านซ้าย บริเวณใกล้ไฟหน้าด้านซ้ายพบรอยกระทบด้วยวัตถุที่มีน้ำหนักและอ่อนนุ่มคล้ายส่วนใดส่วนหนึ่งของมนุษย์ซึ่งมีเส้นใย และมีรอยประทับของเส้นใยที่ฝากระโปรงด้านหน้ารถ พบสีเขียวติดอยู่ที่ตะเกียบหน้าด้านซ้ายของรถจักรยานและบังโคลนหน้า

          พยานมีความเห็นว่ารถจักรยานปะทะกับรถกระบะบริเวณด้านหน้าข้างซ้ายบริเวณแผ่นป้ายทะเบียนของรถยนต์ แต่ไม่พบร่องรอยการบุบของแผ่นป้ายทะเบียน เห็นว่า คดีนี้มิได้มีการจับกุมผู้กระทำผิดในที่เกิดเหตุ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพิจารณาเสียก่อนว่า รถกระบะคันเกิดเหตุมีหมายเลขทะเบียนอะไร ในข้อนี้ โจทก์มีนางทัศนีย์ซึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าพยานเห็นและจำหมายเลขทะเบียนรถกระบะคันที่ชนผู้ตายได้ว่า มีหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร เห็นว่า แม้ว่าคดีนี้จะเกิดในเวลากลางคืนและบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีแสงไฟจากเสาไฟฟ้าข้างทางส่องสว่างก็ตาม

          แต่นางทัศนีย์ก็เบิกความว่าใช้แสงไฟของรถจักรยานยนต์คันที่ตนขี่ไปส่องบริเวณท้ายรถยนต์ที่จอดอยู่ห่างประมาณ 10 เมตร สามารถมองเห็นหมายเลขทะเบียนรถกระบะคันเกิดเหตุได้อย่างชัดเจน โดยยืนยันด้วยว่าไฟส่องสว่างด้านหน้ารถจักรยานยนต์ของตนยังอยู่ในสภาพดี และคำเบิกความดังกล่าวนี้ก็สอดคล้องกับในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนางทัศนีย์ตามเอกสารหมายเลข จ.4 ที่ได้ให้การใกล้ชิดกับวันเวลาที่เกิดเหตุ จึงน่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำบันทึกความของนางทัศนีย์

          เมื่อต่อมาพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถกระบะคันดังกล่าว  จนกระทั่งทราบชื่อเจ้าของรถและนำรถมาให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถกระบะคันดังกล่าว โดยมีร้อยตำรวจเอก ทศพล ธรรมวงศ์ เป็นผู้ตรวจพิสูจน์ ซึ่งก็ได้ตรวจพบว่าบริเวณฝากระโปรงด้านหน้าของรถมีรอยครูดซึ่งมีลักษณะของการครูด 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นรอยครูดที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานแล้ว มีสนิมเกาะบางส่วน ครั้งที่สองเป็นรอยครูดใหม่ทับรอยครูดเก่าอีกชั้นหนึ่ง และบริเวณใกล้กับโคมไฟหน้ามีลักษณะกระทบกับวัตถุที่มีน้ำหนักและอ่อนนุ่มเช่นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ จนปรากฏรอยเส้นประทับอยู่ และตรวจพบสีเขียวบริเวณตะเกียบกับบังโคลนหน้ารถจักรยานของผู้ตาย

          ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมายเลข จ.7 ซึ่งความเห็นของร้อยตำรวจเอก ทศพล ก็สอดคล้องกับความเห็นของนายสุรพงษ์ ละมูลม้อย ผู้ตรวจสอบความเสียหายของรถยนต์กระทบที่มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า พยานได้ทำการตรวจสภาพรถกระบะหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร แล้ว พบว่าบนฝากระโปรงด้านซ้ายมีรอยครูดใหม่จากด้านซ้ายโคมไฟส่องหน้าเฉียงยาวไปถึงกระจกด้านข้างซ้าย ตามบันทึกสภาพรถหมายเลข จ.2 และคำเบิกความของนายประพัฒน์ที่ว่า เมื่อรับรถกระบะจากจำเลย พบรอยครูดใหม่ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ความเห็นของร้อยตำรวจเอก ทศพล ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมายเลข จ.7 มีน้ำหนักว่าน่าเชื่อถือ

          นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงต่อไปว่าต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งชิ้นส่วนรถจักรยานของผู้ตายที่มีสีเขียวติดอยู่กับแผ่นป้ายทะเบียนรถกระบะคันเกิดเหตุไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งร้อยตำรวจเอกหญิง ประทุม พรมมี ผู้ตรวจพิสูจน์ ก็ได้ลงความเห็นว่า สีเขียวที่ปรากฏในชิ้นส่วนรถจักรยานของผู้ตายเป็นสีเขียวชนิดเดียวกับสีเขียวของแผ่นป้ายทะเบียนรถกระบะ ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมายเลข ป.จ.1 (ศาลอาญากรุงเทพใต้)

          เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของนางทัศนีย์ ประจักษ์พยานโจทก์ ประกอบความเห็นของผู้ตรวจพิสูจน์ทั้งสองปากแล้ว ทำให้มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า มีผู้ขับรถกระบะหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ด้วยความประมาทเลินเล่อเฉี่ยวชนกับรถจักรยานของผู้ตายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายจริง ส่วนในข้อที่ว่าผู้ใดเป็นคนขับรถกระบะคันดังกล่าวชนผู้ตายนั้น โจทก์มีนายประพัฒน์เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองรถกระบะคันดังกล่าวในช่วงเวลาเกิดเหตุ ซึ่งในข้อนี้จำเลยก็เบิกความรับว่าเป็นจริง ตามที่โจทก์นำสืบ แม้ทางทัศนีย์จะเบิกความว่าพยานเห็นคบขับรถกระบะลงมาจากรถด้วยและยืนยันว่าคนขับเป็นผู้ชาย

          โดยนายทวีเลิศ และนายสว่าง พ่อบำรุง ซึ่งเป็นน้องชายของผู้ตาย ต่างเบิกความว่า นางทัศนีย์มาเล่าข้อเท็จจริงดังกล่าวให้นายทวีเลิศฟังด้วย และนายทวีเลิศก็มาเล่าให้นายสว่างฟังอีกต่อหนึ่ง  แต่ในคำบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของนางทัศนีย์และนายทวีเลิศตามเอกสารหมายเลข จ.4 และ จ.6 ซึ่งได้ให้การใกล้ชิดกับวันเวลาที่เกิดเหตุก็ไม่ได้ระบุถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่เป็นข้อเท็จจริงในส่วนที่สำคัญ โดยนางทัศนีย์เบิกความว่าได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้ว แต่พนักงานสอบสวนไมได้บันทึกไว้

          ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ข้อความในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนางทัศนีย์ตามเอกสารหมายเลข จ.4 แล้ว ปรากฏว่ามีการระบุรายละเอียดที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดเป็นขั้นตอน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ขัดต่อเหตุผลและผิดปกติอย่างยิ่งที่พนักงานสอบสวนจะไม่ได้บันทึกว่าประจักษ์พยานเห็นผู้กระทำความผิดว่าเป็นชายหรือหญิง อีกทั้งจะสันนิษฐานว่าพนักงานสอบสวนกระทำการจงใจไม่บันทึกคำให้การเช่นนั้นเพื่อให้เป็นผลร้ายแก่จำเลย ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะในขณะนั้นการสอบปากคำพยานดังกล่าวของพนักงานสอบสวนก็ยังไม่ทราบว่าเจ้าของรถกระบะคันที่เกิดเหตุเป็นชายหรือหญิง

          เนื่องจากหนังสือแจ้งของสำนักงานขนส่งจังหวัดสกลนครตามเอกสารหมายเลข จ.17 ที่แจ้งชื่อเจ้าของรถกระบะนั้นลงวันที่ 16 มีนาคม 2548 แต่บันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนในเอกสารหมายเลข จ.4 และ จ.6 ระบุว่าสอบคำให้การวันที่ 13 มีนาคม 2548 คำให้การในชั้นสอบสวนในส่วนนี้จึงน่าเชื่อว่าจะเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณา พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนขับรถกระบะหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ชนผู้ตายจริง

          ที่จำเลยนำสืบว่าไม่ได้ขับรถไปในบริเวณที่เกิดเหตุนั้นก็มีเพียงจำเลยและนางยุพิน ปรีจริตร ซึ่งเป็นญาติของจำเลย มาเบิกความเป็นพยานเท่านั้น ซึ่งง่ายแก่การกล่าวอ้างและมีน้ำหนักน้อย ส่วนที่จำเลยมีนายคึกฤทธิ์ สุนรบดี ซึ่งเป็นหัวหน้างานตรวจสภาพรถ สำนักงานขนส่งจังหวัดนครพนม มาเป็นพยานเบิกความว่า สีเขียวบริเวณตัวอักษรและขอบแผ่นป้ายทะเบียนของรถบรรทุกส่วนบุคคล หรือรถกระบะเหมือนกันทั้งประเทศนั้น เห็นว่า แม้จะเป็นจริงดังที่นายคึกฤทธิ์ พยานจำเลย เบิกความ แต่คดีนี้โจทก์มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงกันโดยตลอดตั้งแต่คำเบิกความของประจักษ์พยาน ผู้ตรวจพิสูจน์ร่องรอยการเฉี่ยวชนและผู้ทำการตรวจพิสูจน์ชิ้นส่วนรถจักรยานกับแผ่นป้ายทะเบียนรถกระบะดังที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดแล้ว มิได้อาศัยเพียงการตรวจพิสูจน์ที่ระบุว่าสีเขียวที่ติดอยู่บริเวณชิ้นส่วนรถจักรยานเป็นสีเขียวชนิดเดียวกับสีเขียวของแผ่นป้ายทะเบียนรถกระบะเท่านั้น

          จึงไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ที่จำเลยนำสืบอ้างว่า บริเวณฝากระโปรงรถด้านข้างซ้ายเป็นรอยครูดเก่าไม่มีรอยครูดใหม่ โดยมีบันทึกยืนยันสภาพรถตามเอกสารหมายเลข ป.ล. 3 (ศาลฎีกาจังหวัดสกลนคร) ประกอบการพิจารณาด้วยนั้น เห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวขัดแย้งกับความเห็นของผู้ตรวจพิสูจน์ และไม่ปรากฏว่าบันทึกยืนยันสภาพรถดังกล่าวได้จัดทำขึ้นเมื่อใด จึงยังไม่พอหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้อีกเช่นเดียวกัน

          พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยขับรถกระบะหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ชนผู้ตาย และจำเลยไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร และไม่ไปแสดงตัวกับแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที จำเลยจึงมีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

          พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น




ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Drama-addict, AMARIN TVHD

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม "คดีครูแพะ" ทำไมเธอถึงติดคุก ? อัปเดตล่าสุด 19 มกราคม 2560 เวลา 12:30:29 63,403 อ่าน
TOP