ทนายความแสดงความเห็นข้อกฎหมาย กรณีเมียตำรวจ ชี้ไฟแนนซ์ยึดรถเองไม่ได้ หากผู้เช่าซื้อไม่ยินยอม ต้องมีหมายศาลเท่านั้น
จากกรณีโลกออนไลน์แชร์คลิปวิดีโอพร้อมเรื่องราวของ น.ส.นพวรรณ จีระ ขณะที่กำลังมีปัญหากับไฟแนนซ์ที่กำลังจะเข้ายึดรถ แล้วได้โทร. แจ้งสามี ด.ต. เอกฉัตร สมศิริ ผบ.หมู่ สืบสวน สน.บางเขน ให้เข้ามาเคลียร์ ก่อนจะใช้อาวุธปืนข่มขู่ ซึ่งได้อ้างว่าป้องกันตัวกลัวว่าจะมาปล้นรถ โดยอ้างว่าทางไฟแนนซ์ไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตน เพียงแต่กล่าวอ้างขึ้นมาด้วยคำพูดเท่านั้น โดยภายหลังจากคลิปถูกเผยแพร่ไปในโซเชียล ก็เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงทั้งในมุมมองของ น.ส.นพวรรณ เมียตำรวจ และในฝ่ายของเจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์
ล่าสุด (10 พฤษภาคม 2560) ในเฟซบุ๊กของ ดร. สุกิจ พูนศรีเกษม ซึ่งระบุว่า เป็นทนายความ จบการศึกษาปริญญาเอกทางกฎหมายมหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่น 13 ได้ออกมาเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า ด.ต. เอกฉัตร ได้รับแจ้งจากภรรยาว่า ได้มีชายฉกรรจ์กับพวกมาล้อมรถและยึดกุญแจรถไว้ โดยมีเหตุอันควรเชื่อว่าโดนปล้น สามีซึ่งเป็นนายดาบตำรวจก็ออกมาช่วยโดยพบชายฉกรรจ์ดังกล่าว สอบถามได้ความว่าเป็นไฟแนนซ์มายึดรถ แต่ไม่มีหลักฐานอะไรมาแสดงให้เห็นว่าเป็นความจริง เพียงแต่กล่าวอ้างขึ้นมาลอย ๆ พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมมีเหตุเชื่อได้ว่าชายฉกรรจ์กับพวกประสงค์ร้ายต่อทรัพย์ ด.ต. เอกฉัตร จึงมีเหตุที่จะพกปืนเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของภรรยาได้โดยชอบ การกระทำของนายดาบตำรวจผู้นั้นจึงไม่มีความผิด ฐานพกพาอาวุธปืนโดยไม่มีเหตุอันควร
กรณีที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาคือ ชายฉกรรจ์ กับพวก มีสิทธิ์ที่จะยึดรถที่ค้างค่างวดบริษัทไฟแนนซ์หรือไม่ โดยตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2555 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ได้ให้อำนาจให้ยึดรถยนต์คันที่เช่าซื้อได้ แต่หากบริษัทไฟแนนซ์จะเข้าครอบครองรถคันที่เช่าซื้อ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้เช่าชื้อเป็นหนังสือ หรือหมายบังคับคดีของศาลที่ให้เจ้าพนักงานงานบังคับคดียึดรถยนต์คันดังกล่าวเป็นหมายศาลจึงจะกระทำได้ ชายฉกรรจ์กับพวกจึงไม่มีสิทธิ์เที่ยวออกยึดรถที่ชาวบ้านที่ค้างค่างวดได้โดยลำพัง เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้เช่าซื้อ
นอกจากนี้ชายฉกรรจ์กับพวก ยังนำเอาเหตุที่ผิดหวังจากการยึดรถไปลงประจานในสื่อออนไลน์ว่า ผู้เช่าซื้อค้างค่างวดรถเป็นความผิดต่อ พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 เรื่องการนำข้อมูลของลูกหนี้ไปเผยแพร่โพสต์ข้อความประจานลูกหนี้ เข้าข่ายความผิด ตามมาตรา 11 ห้ามผู้ทวงถามหนี้กระทําการทวงถามหนี้ วรรค (1) การข่มขู่ การใช้ความรุนแรง หรือการกระทําอื่นใดที่ทําให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของลูกหนี้หรือผู้อื่น มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และวรรค (3) การแจ้งหรือเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นหนี้ของลูกหนี้ให้แก่ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พนักงานสอบสวนจะต้องดำเนินคดีกับชายฉกรรจ์ดังกล่าวในความผิดฐานปล้นทรัพย์ และความผิดฐาน พ.ร.บ.ทวงหนี้ ปี 2558 และความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพโดยมีเหตุฉกรรจ์เพราะเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดินโดยไม่ต้องรอให้ผู้เสียหายไปร้องทุกข์เสียก่อน มิฉะนั้นท่านอาจมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก ดร. สุกิจ พูนศรีเกษม