จากกรณีที่นักศึกษาแพทย์หนุ่มวางยาสุนัขเพื่อหวังเอาเงินประกัน ซึ่งต่อมามีรายงานว่านักศึกษาแพทย์รายดังกล่าวมีปัญหาทางสภาพจิตทำให้กระทบการเรียน เรียนไม่จบทั้งที่เพื่อนรุ่นเดียวกันเรียนจบไปหมดแล้วนั้น [อ่านข่าว : ตำรวจเตรียมเรียก น.ศ.แพทย์ ฆ่าหมา สอบปากคำ-รุ่นพี่ชี้ป่วยทางจิตจริง คลิก]
อย่างไรก็ดี นายรณณรงค์ ระบุว่า ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ แต่ละกรณีขึ้นอยู่กับศาลจะพิจารณาเองว่าผู้กระทำความผิดรู้ตัว รู้รับผิดชอบแค่ไหน
ซึ่งนักศึกษาแพทย์จะอ้างว่าวิกลจริตก็ได้ แต่ยังมีส่วนต้องรับผิดชอบ เนื่องจากเป็นนักศึกษาแพทย์ ซึ่งคนที่เป็นนักศึกษาแพทย์ย่อมที่จะมีความเฉลียวฉลาด ส่วนศาลจะเชื่อหรือไม่เป็นดุลยพินิจของศาล ซึ่งในอดีตที่ผ่านมามีนักศึกษาปริญญาตรีอ้างเรื่องวิกลจริต แต่ศาลไม่เชื่อแม้จะมีประวัติการรักษาก็ตาม
นอกจากนี้ นายรณณรงค์ ยังเผยอีกว่ากรณีนี้ต้องให้จิตแพทย์ประเมินว่ามีความรู้สึกผิดชอบแค่ไหน เคสนี้จะอ้างว่าวิกลจริตไม่ได้ เพราะมีการวางแผนไว้ พอจับได้คงไม่มีใครเชื่อ
ด้านนายรัชพล ศิริสาคร เจ้าของเพจสายตรงกฎหมาย ระบุว่า การจะอ้างว่าป่วยทางจิต ไม่ได้ใช้ได้ทุกกรณี ถ้าในขณะทำความผิด คุณไม่ได้ป่วยก็ต้องรับโทษ ยกตัวอย่าง คำพิพากษาฎีกาที่ 733/2521 จำเลยอายุ 19 ปี เป็นโรคจิตเภท ลักรถยนต์ในเวลารู้ผิดชอบอยู่บ้าง ต้องรับโทษตามกฎหมาย คำพิพากษาฎีกาที่ 331/2513 จำเลยเป็นโรคบ้าเลือด มีอาการผิดปกติไปจากคนธรรมดา คุ้มดีคุ้มร้าย ซึ่งถือว่าเป็นโรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือนบางขณะ ไม่มีความรู้สึกผิดชอบเยี่ยงบุคคลธรรมดา แต่ยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง จำเลยจึงต้องรับผิดดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Jakkarin Riangngoen, รายการทุบโต๊ะข่าว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก