หลังจากที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ประกาศยกเลิกเครื่องหยอดเหรียญบนรถเมล์ เผยติดปัญหาทั้งประสิทธิภาพและข้อจำกัดในการใช้งานนั้นก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมากมาย เพราะการเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์พร้อมอุปกรณ์ (E-Ticket) และเครื่องเก็บค่าโดยสาร (Cash box) บนรถโดยสารจำนวน 2,600 คัน ที่ทาง ขสมก. ได้ทำสัญญากับ บริษัท ช.ทวี จำกัด (มหาชน) มีมูลค่าถึง 1,665 ล้านบาท ระยะสัมปทาน 5 ปี (อ่านเพิ่มเติม : ขสมก. ยกเลิกเครื่องเก็บเงินบนรถเมล์ ชี้ติดปัญหาหลายอย่าง-ใช้งานไม่ได้จริง)
แต่ปรากฏว่าหลังจากทดลองใช้กล่องหยอดเหรียญและเครื่องอ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ได้ประมาณ 40 วัน ขสมก. ได้สั่งยกเลิกการติดตั้งกล่องหยอดเหรียญบนรถเมล์จำนวนที่เหลืออีก 1,800 คัน หลังจากติดตั้งไปแล้ว 800 คัน โดยอ้างว่าการใช้กล่องหยอดเหรียญมีปัญหาทางเทคนิค บางครั้งกล่องไม่คืนเหรียญหรือคืนเหรียญไม่ถูกต้อง ที่สำคัญในช่วงเวลาเร่งด่วนซึ่งมีผู้โดยสารแน่นมาก ทำให้ต้องเสียเวลาในการหยอดเหรียญและรับเงินทอน ซึ่งตรงนี้ก่อนติดตั้ง ขสมก.จะต้องศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมาใช้ในกรุงเทพฯ ที่มีผู้โดยสารรถเมล์จำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน อีกทั้งในปัจจุบันหลายเมืองในหลายประเทศได้ยกเลิกการใช้กล่องหยอดเหรียญไปแล้ว โดยได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องอ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์แทน
ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์