เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 มีรายงานว่า ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้อ่านคำสั่งในคดีที่ นายชิเกตะ มิตซูโตกิ ชาวญี่ปุ่น ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้เยาว์ทั้ง 13 คน ซึ่งเกิดจากการตั้งครรภ์แทนโดยแม่อุ้มบุญชาวไทย เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องตามบทเฉพาะกาล ที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์
ดังนั้น ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้เยาว์ทั้ง 13 คน เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายได้ ประกอบกับรายงานผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นบิดาโดยสายโลหิตของผู้เยาว์ทั้ง 13 คน ส่วนประวัติของผู้ร้อง ซึ่งเป็นบุตรผู้ก่อตั้งและประธานบริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น เป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นในหลายบริษัท ได้รับเงินปันผลจากบริษัทเดียวปีละกว่าร้อยล้านบาท แสดงว่าผู้ร้องมีอาชีพการงานมั่นคง มีรายได้มากเพียงพอที่จะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ทุกคน
โดยหลังจากผู้เยาว์ทั้ง 13 คนเกิด ผู้ร้องก็ได้รับอุปการะเลี้ยงดูด้วยดีตลอดมา และได้วางแผนเตรียมพร้อมในการพาบุตรผู้เยาว์ทั้งหมดไปอุปการะเลี้ยงดูที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทางผู้ร้องและครอบครัวได้ซื้อที่ดินและกำลังก่อสร้างที่พักที่มีความปลอดภัยและสะดวก มีพยาบาลวิชาชีพและพี่เลี้ยงเด็กเพียงพอ เมื่อถึงเกณฑ์ที่ผู้เยาว์จะเข้ารับการศึกษา ผู้ร้องวางแผนจะส่งเข้าศึกษาที่โรงเรียนนานาชาติใกล้ที่พักอาศัย
ด้านอธิบดีกรมกิจการเด็กในฐานะผู้กำกับดูแลหน่วยงาน ที่เลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้ง 13 คน มีหนังสือไม่คัดค้านการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาล ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ร้องมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ หรือคดีอาญาใด ๆ ดังนั้นศาลจึงเห็นสมควรมีคำสั่งให้ผู้เยาว์ทั้ง 13 คน ที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทน เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องนับแต่วันที่ผู้เยาว์นั้นเกิด และเมื่อได้ความว่า หญิงอุ้มบุญชาวไทยมิได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับผู้เยาว์แต่อย่างใดและทุกคนต่างทำบันทึกยอมสละอำนาจปกครองแล้ว
จึงเห็นควรให้นายชิเกตะ มิตซูโตกิ ผู้ร้อง มีอำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้ง 13 คน โดยชอบด้วยกฎหมายแต่เพียงฝ่ายเดียว