กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ เปลี่ยนระบบเก็บข้อมูลดอกเบี้ยออมทรัพย์ เหมือนผลักภาระให้ประชาชน ต้องแสดงตน แนะ เรื่องนี้แก้ไขง่ายนิดเดียว แค่สรรพากรกับแบงก์ชาติจับมือกัน
จากกรณีข่าว กรมสรรพากรเตรียมเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก สำหรับผู้ได้ดอกเบี้ยไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี โดยก่อนหน้านี้ได้มีการผ่อนผันให้ แต่กลับพบว่ามีสถาบันการเงินบางแห่งใช้ช่องว่างทางกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ลูกค้ารายใหญ่ ด้วยการให้รีบปิดบัญชีเมื่อดอกเบี้ยใกล้ถึง 20,000 บาท และเปิดบัญชีใหม่ เพื่อไม่ให้เสียภาษีดอกเบี้ย ณ ที่จ่าย 15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต่อมา กรมพสรรพากรออกหนังสือชี้แจง ไม่มีการเรียกเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝากไม่เกิน 20,000 บาท แค่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเก็บข้อมูลเท่านั้น เป็นการให้ผู้ฝากเงินแจ้งธนาคารให้ส่งข้อมูลแก่กรมสรรพากรเอง (อ่านข่าว : สรรพากรโร่แจง ดอกเบี้ยออมทรัพย์ไม่เกิน 2 หมื่น ไม่เสียภาษี แค่เปลี่ยนรูปแบบเก็บข้อมูล)
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (19 เมษายน 2562) มีรายงานว่า กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์แสดงความคิดถึงประเด็นดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว Korn Chatikavanij ระบุว่า จากการสอบถามที่มาที่ไปจากเจ้าหน้าที่ในกรมสรรพากร ทราบว่า ที่ต้องเปลี่ยนระบบเก็บข้อมูลเพราะก่อนหน้านี้มีการหลีกเลี่ยงภาษีด้วยการเปิดหลายบัญชี และธนาคารแต่ละแห่งก็ไม่มีข้อมูลธนาคารอื่น เจ้าของบัญชีจึงหลีกเลี่ยงภาษีได้สบาย
คราวนี้กรมสรรพากร จึงออกคำสั่งให้เจ้าของบัญชีอนุมัติให้ธนาคารของตนเองส่งข้อมูลให้สรรพากร หากใครที่ไม่อนุมัติจะเสียสิทธิการยกเว้นภาษีไปเลย และนี่คือปัญหา เพราะกลายเป็นภาระของประชาชนส่วนใหญ่ที่มีเงินฝากตํ่ากว่าเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี (คือประมาณ 4 ล้านบาท) ที่มีภาระที่จะต้องแสดงตน
โดยส่วนตัว ตนมองว่า เรื่องนี้แก้ไขได้หากกรมสรรพากรและแบงก์ชาติสามารถประสานการทำงานร่วมกันได้ เพราะแบงก์ชาติเข้าถึงข้อมูลข้ามธนาคารได้อยู่แล้ว แต่เนื่องจากสองหน่วยงานมีกฎหมายกำกับต่างกัน จึงไม่สามารถแชร์ข้อมูลกันได้
ตนเลยแสดงความเห็นกับทางสรรพากรว่า แทนที่จะให้เป็นภาระของเจ้าของบัญชีต้องแจ้ง ควรให้เป็นหน้าที่ของธนาคารที่จะแจ้งกับเจ้าของบัญชี และสรรพากรควรมีมาตรการเด็ดขาดในการเอาผิดธนาคารใดที่มีพฤติกรรมช่วยลูกค้ารายใหญ่หลีกเลี่ยงการเสียภาษี
หากกรมสรรพากรปรับวิธีการเล็กน้อยตามที่ตนเสนอ ประชาชนส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ อีกทั้งเศรษฐีเงินฝากจะหลีกเลี่ยงภาษีก็จะทำได้ยากขึ้น และธนาคารจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อีกต่อไป
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (19 เมษายน 2562) มีรายงานว่า กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์แสดงความคิดถึงประเด็นดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว Korn Chatikavanij ระบุว่า จากการสอบถามที่มาที่ไปจากเจ้าหน้าที่ในกรมสรรพากร ทราบว่า ที่ต้องเปลี่ยนระบบเก็บข้อมูลเพราะก่อนหน้านี้มีการหลีกเลี่ยงภาษีด้วยการเปิดหลายบัญชี และธนาคารแต่ละแห่งก็ไม่มีข้อมูลธนาคารอื่น เจ้าของบัญชีจึงหลีกเลี่ยงภาษีได้สบาย
คราวนี้กรมสรรพากร จึงออกคำสั่งให้เจ้าของบัญชีอนุมัติให้ธนาคารของตนเองส่งข้อมูลให้สรรพากร หากใครที่ไม่อนุมัติจะเสียสิทธิการยกเว้นภาษีไปเลย และนี่คือปัญหา เพราะกลายเป็นภาระของประชาชนส่วนใหญ่ที่มีเงินฝากตํ่ากว่าเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี (คือประมาณ 4 ล้านบาท) ที่มีภาระที่จะต้องแสดงตน
โดยส่วนตัว ตนมองว่า เรื่องนี้แก้ไขได้หากกรมสรรพากรและแบงก์ชาติสามารถประสานการทำงานร่วมกันได้ เพราะแบงก์ชาติเข้าถึงข้อมูลข้ามธนาคารได้อยู่แล้ว แต่เนื่องจากสองหน่วยงานมีกฎหมายกำกับต่างกัน จึงไม่สามารถแชร์ข้อมูลกันได้
ตนเลยแสดงความเห็นกับทางสรรพากรว่า แทนที่จะให้เป็นภาระของเจ้าของบัญชีต้องแจ้ง ควรให้เป็นหน้าที่ของธนาคารที่จะแจ้งกับเจ้าของบัญชี และสรรพากรควรมีมาตรการเด็ดขาดในการเอาผิดธนาคารใดที่มีพฤติกรรมช่วยลูกค้ารายใหญ่หลีกเลี่ยงการเสียภาษี
หากกรมสรรพากรปรับวิธีการเล็กน้อยตามที่ตนเสนอ ประชาชนส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ อีกทั้งเศรษฐีเงินฝากจะหลีกเลี่ยงภาษีก็จะทำได้ยากขึ้น และธนาคารจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อีกต่อไป
