TDRI วิเคราะห์แผนเปิดประเทศใน 120 วัน ชี้ ประสิทธิภาพของวัคซีน มีผลเป็นอย่างยิ่งต่อการเปิดประเทศ พร้อมเทียบโมเดล ชิลี-อังกฤษ ใช้ ซิโนแวค-แอสตร้าฯ ต้านไม่ไหวกลับมาปิดอีกรอบ
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
วันที่ 18 มิถุนายน 2564 เรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เผยบทวิเคราะห์เกี่ยวกับแผนการเปิดประเทศในอีก 120 วัน ของนายกรัฐมนตรี ว่า ถือเป็นเป้าหมายในอุดมคติ เป็นการคาดการณ์ในกรณีที่ดีที่สุดที่จะเกิดขึ้น ได้ทั้งการควบคุมโรคระบาดและการกระจายวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ก่อนจะเปิดประเทศ
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
เชื่อ เปิดประเทศ 4 เดือนหน้า คนไทยยังไม่มีภูมิคุ้มกันหมู่ เสี่ยงเชื้อแพร่กว่าเดิม
ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยคาดการณ์อย่างเร็วที่สุด ประชาชน 70% จะได้วัคซีน 2 โดส ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ถึงจะเปิดเศรษฐกิจได้ แต่เมื่อนายกฯ ตั้งเป้าเปิดประเทศภายในเดือนตุลาคม 2564 นั้น ซึ่งเร็วกว่า ธปท. คาดการณ์ไว้ถึง 4 เดือน ทาง TDRI มองว่า ต้องมองในมุมทั้งการควบคุมการระบาดและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป้าหมายที่นายกฯ ตั้งไว้ถ้าทำสำเร็จ เศรษฐกิจจะฟื้นตัวกลับมาเกือบ ๆ จะ 5 แสนล้าน หรืออาจจะมากกว่านั้น เป็นการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคของประชาชน
แต่ปัจจัยความสำเร็จและความเสี่ยงมันขึ้นอยู่กับปริมาณและเรื่องคุณภาพวัคซีน โดยปริมาณแผนวัคซีนของรัฐบาลที่จะฉีดเข็มแรกในเดือนมิถุนายน และอีก 4 เดือนข้างหน้า ต้องฉีดให้ได้ถึง 60% ของประชากร ซึ่งก็ยังไม่ถึงภูมิคุ้มกันหมู่ที่จะได้ 70% และยังมีปัญหาส่วนหนึ่งยังไม่ได้ฉีดเข็ม 2
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบโมเดลของต่างประเทศที่เคยเปิดประเทศมาแล้วอย่างประเทศชิลีและอังกฤษ หลังฉีดวัคซีนแต่สุดท้ายเจอสถานการณ์เลวร้าย ทำให้ต้องกลับมาปิดประเทศอีกครั้ง เนื่องจากมีความเสี่ยงในการระบาดระดับสูง อาทิ ประเทศอังกฤษ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละกว่า 7,000 คน ซึ่งถ้าตัวเลขนี้เกิดขึ้นในไทย ก็จะเกินความสามารถของระบบสาธารณสุข
ภาพจาก NMC2S / Shutterstock.com
TDRI มอง ยี่ห้อวัคซีน มีผลต่อการเปิดประเทศสูง ระบาดอีกรอบ เสียหายหนักกว่าเดิม
ดร.นณริฏ กล่าวอีกว่า ขณะนี้เรายังคุมการระบาดระลอก 3 ไม่ได้ และถ้ามีเชื้อกลายพันธุ์จากสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) และสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) จะลำบากมากเกินกว่าระบบสาธารณสุขจะรับไหว
สำหรับโมเดลเปรียบเทียบ 3 ประเทศที่เปิดประเทศหลังใช้วัคซีนคนละยี่ห้อ ทำให้การควบคุมโรคแตกต่างกัน ดังนี้
- ประเทศชิลี ใช้วัคซีนซิโนแวค
- ประเทศอังกฤษ ใช้วัคซีนแอสตร้าฯ
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ดังนั้น ในมุมมองของ TDRI เชื่อว่าประสิทธิภาพของวัคซีนมีผลอย่างยิ่งต่อการเปิดประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยขณะนี้ใช้วัคซีนซิโนแวคเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นวัคซีนประเภทป้องกันการป่วยหนักและการเสียชีวิตได้ แต่ไม่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้
หากการระบาดเพิ่มขึ้นหลังจากเปิดประเทศ และประชาชนยังไม่เกิดภูมิคุ้มกันหมู่อย่างแท้จริง ก็จะทำให้กลับมาระบาดใหม่ ล็อกดาวน์กันใหม่ และจะเกิดความไม่แน่นอนกลายเป็นปิด ๆ เปิด ๆ ส่งผลกับเศรษฐกิจต่อไป
ภาพจาก jaturonoofer / Shutterstock.com