ฝรั่งมาปรึกษา สาวไทยเรียกสินสอด 1 ล้าน ทำงานร้านอาหาร พ่อแม่เสีย ควรจ่ายไหม ?!

          ฝรั่งมาปรึกษา สาวไทยเรียกสินสอด 1 ล้านบาท แบบนี้ควรทำยังไงดี ด้านหลายคนเผยเคสที่แตกต่างกัน ของอย่างนี้อาจมีหลายปัจจัยในการตัดสิน พร้อมหลายคนยกเคสต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย จ่ายหรือไม่จ่ายดี

           ปัญหาหนักอกหนักใจอย่างหนึ่งของการแต่งงานในสมัยนี้ ที่ทุกคู่ต้องเผชิญกันโดยถ้วนหน้า นั่นก็คือการเรียกสินสอด ที่ไม่รู้ว่าฝ่ายพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะเรียกเท่าไร ฝ่ายชายจะหาเงินจากไหนมาจ่าย และเงินสินสอดนั้นจะได้คืนหรือไม่ ซึ่งบางคู่บางครั้ง ก็ต้องมาพังเพราะเรียกสินสอดสูงเกินไปก็มี

           ทั้งนี้ หนุ่มชาวต่างชาติคนหนึ่ง ได้มาตั้งกระทู้ถามใน Reddit ว่า เขาและแฟนสาวคนไทยเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่เดือน และแฟนสาวมักจะพูดทีเล่นทีจริงว่า ถ้าแต่งงานกัน จะขอสินสอด 1 ล้านบาท ซึ่งตัวเขาก็มองว่ามันค่อนข้างสูงพอสมควร แฟนสาวของเขาทำงานในร้านอาหารที่ลุงของเธอเป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นร้านอาหารเก่าแก่ของจังหวัดและขายดีในระดับหนึ่ง ส่วนพ่อแม่ของแฟนสาวได้เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้เธอต้องมาอาศัยอยู่กับคุณลุงคุณป้า

           ดังนั้น เขาจึงอยากได้คำแนะนำถึงการต่อรองราคาสินสอด เผื่อในอนาคตความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมาถึงจุดที่จะได้แต่งงานกัน เราจะใช้เกณฑ์อะไรเป็นตัวตั้งว่าควรจะให้สินสอดเท่าไร และจะได้สินสอดคืนหรือเปล่า

           นอกจากนี้ เขายังได้มาเสริมเพิ่มเติมว่า แฟนของเขามีเงินเดือนเดือนละ 30,000 บาท แฟนของเขาเป็นคนที่ขี้อาย และไม่ค่อยอยากจะมีเรื่องกับใครสักเท่าไร คุณพ่อของเธอเสียไปตั้งแต่ที่เธออายุ 6 ขวบ และเป็นคุณลุงคุณป้าที่คอยชุบเลี้ยงเธอมา อันเป็นเหตุให้เธอรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณลุงกับป้าตลอดเวลา และในตอนนี้คุณลุงยังให้งานเธอทำอีก เธอเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองต่ำ แม้กระทั่งเวลาที่เขาต่อราคาของ แฟนสาวยังพยายามบอกว่าอย่าทำแบบนั้นเลย

คนไทยมาอธิบาย คอนเซ็ปต์ของสินสอด และเกณฑ์ตัดสิน ควรจ่ายสินสอดเท่าไรดี

           ทั้งนี้ ได้มีคำตอบเข้ามาหลากหลายในกรณีนี้ และมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่เข้ามาตอบ อาทิ ราคาของสินสอดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างรวมกัน อายุของเจ้าสาว ประวัติการศึกษา เป็นลูกคนเดียวของครอบครัวหรือเปล่า ปัจจุบันหน้าที่การงานหารายได้ได้เท่าไร เธอมาจากภาคไหน เคยแต่งงานมาก่อนหรือเปล่า และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ขึ้นอยู่กับการตกลงของแต่ละครอบครัว

           คอนเซ็ปต์ของสินสอดนั้นเป็นความคิดที่สืบทอดกันมาของสังคมเกษตรกรรม ที่เมื่อผู้หญิงแต่งงานออกไป นั่นหมายความว่าบ้านหลังนั้นจะขาดแรงงานในการเกษตรไปแล้ว 1 คน จึงเป็นที่มาของสินสอด แต่ในปัจจุบันที่หลายครอบครัวไม่ได้ทำเกษตรอีกต่อไป และในหลายพื้นที่ สินสอดกลายเป็นธรรมเนียมที่ล้าสมัย และหลายคนไม่นำไปปฏิบัติอีกต่อไป

           แต่ในขณะเดียวกัน ในสภาพสังคมในหลายพื้นที่ที่ยังมีความเป็นอนุรักษนิยมสูง และยังคาดหวังให้ผู้ชายเป็น "ช้างเท้าหน้า" อยู่ การให้สินสอดนั้นจึงยังคงเป็นธรรมเนียมที่จำเป็นเพื่อแสดงออกว่าฝ่ายชายมีความสามารถในการหาเลี้ยงครอบครัวได้ บางครั้งสินสอดเป็นเครื่องบ่งบอกสถานะ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ บางครอบครัวก็ยกสินสอดให้ครอบครัวเอาไปตั้งตัว แต่บางครอบครัวก็ยกสินสอดให้บ้านเจ้าสาว เพื่อเป็นเครื่องการันตีว่าในวันที่เจ้าสาวต้องหย่าหรือสามีตาย เธอยังพอมีทรัพย์สินติดตัวบ้าง

หลายคนยกเคสขึ้นมา จ่ายสินสอดเท่าไร พร้อมคำตอบสุดท้าย เรียกมา 1 ล้าน จะจ่ายดีไหม

           ทั้งนี้ ได้มีคนที่เข้ามายกตัวอย่างถึงเคสของตัวเองในการจ่ายสินสอดเช่น

           ชาวต่างชาติรายหนึ่ง ให้สินสอดเป็นเงินสด 2 แสนบาท ทองอีก 2 แสนบาท ภรรยาของเขาเป็นพยาบาลและไม่เคยแต่งงานมาก่อน ไม่เคยมีลูก ซึ่งตกลงกันว่า ถ้าหากฝ่ายหญิงกลับไปที่เมืองไทยจะมีการคืนสินสอดให้ และทางครอบครัวฝ่ายหญิงก็คืนสินสอดให้บ่าวสาวจริง ๆ บ่าวสาวจึงตอบแทนด้วยการยกเงินใส่ซองของแขกให้กับครอบครัวของพ่อแม่ฝ่ายหญิงไป

           สาวไทยคนหนึ่งมาจากโคราช บอกว่า เคสของเธอนั้น เธออายุอยู่ในวัย 30 ปี จบปริญญา 2 ใบ เธอทำงานที่เวียดนามและเธอได้เจอกับแฟนซึ่งเป็นชาวไอริช เธอเป็นลูกสาวคนเดียวและทำเงินได้มากกว่าแฟนเล็กน้อย คุณพ่อของเธอซึ่งเป็นตำรวจ ตอนแรกต้องการที่จะมีการเรียกสินสอด แต่เธอยืนยันว่าเธอไม่ใช่วัวควาย ไม่ได้มีไว้ให้ขาย และยืนยันว่าถ้าจะเรียกสินสอดถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องแต่งไปเลย และสุดท้ายคุณพ่อของเธอก็ยอมรับในเงื่อนไขนั้น

           อย่างไรก็ตาม มีหลายเสียงที่ยืนยันว่า การที่แฟนของเจ้าของกระทู้ต้องการเรียกสินสอด 1 ล้านบาท ถือว่าสูงเกินไป แม้ว่าดูจากประวัติเหมือนกับว่าเธอจะพอมีฐานะอยู่บ้าง และร้านอาหารของลุงอาจจะเป็นของเธอในที่สุด หลายคนเสนอทางออกว่าให้จ่ายแค่ 3 แสนบาทพอ เพื่อให้เรื่องจบ และสุดท้ายเรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายหญิงด้วยว่า จะกล้าไปพูดคุยกับครอบครัวตัวเองมากน้อยแค่ไหน

           สุดท้าย หนุ่มคนนี้ยืนยันว่า เขารู้ว่าการเรียกสินสอด 1 ล้านบาทจากฝ่ายหญิงเป็นแค่เรื่องพูดทีเล่นทีจริง และไม่รู้จริง ๆ ว่าพอถึงเวลานั้นทางครอบครัวฝ่ายหญิงจะเรียกเท่าไร แต่ถ้าเรียกสินสอด 1 ล้านบาทจริง ๆ เขาก็คงไม่จ่าย เอาไปจ่ายเป็นค่าเทอมลูกยังจะดีกว่า