x close

เรื่องที่น่าเศร้า ของเมืองไทย

ประท้วง

เรื่องที่น่าเศร้า

โดย ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์
คอลัมน์ กรองข่าวมาเล่า

          เป็นที่น่าเสียดายเมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองพูดในเวทีสาธารณะ หรือเป็นการภายในเฉพาะกลุ่ม แต่สื่อมวลชน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ไม่ค่อยได้นำเสนอต่อผู้อ่านทั้งที่คำกล่าวนั้นมีคุณค่ามหาศาลต่อสังคมทำให้พูดดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อสังคมถูกจำกัดอยู่เฉพาะในวงแคบๆ เท่านั้น แทนที่จะถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง

          วันนี้ผมขอเริ่มด้วยการขออนุญาตนำคำกล่าวของ คุณอานันท์ ปันยารชุน ที่ได้กล่าวในงานสังสรรค์อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชุดที่ 1 ณ โรงแรมอโนมา เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2551

          ประเด็นที่ถ่ายทอดออกมา ท่านแสดงความห่วงกังวลว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่ปัจจุบันนอกจากคนไทยจะ "แตกต่าง แตกแยก" แล้วอาจนำไปสู่ความ "แตกหัก" ได้ในที่สุด และอีกประเด็นหนึ่งอยู่ที่ความห่วงใยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะ "มีสิ่งที่ไม่บังควรเกิดขึ้น ชนิดที่ในชีวิตผมไม่คิดว่าจะมีคนเผยแพร่ข้อความลงในอินเทอร์เน็ตกล่าวหาพระองค์ โดยที่พระองค์ท่านไม่มีโอกาสชี้แจงอะไรได้เลย"

          คุณอานันท์ เป็นบุคคลหนึ่งที่ผมมีความเคารพนับถืออย่างยิ่ง โดยที่ท่านคงไม่รู้ตัว ปาฐกถาคำกล่าวหรือคำให้สัมภาษณ์ของท่านหากปรากฏในหนังสือพิมพ์หรือสื่ออินเทอร์เน็ตผมจะรวบรวมไว้เสมอ เพราะให้ทั้งความรู้เตือนสติและเตือนใจเสมอมา อ่านเมื่อไรก็ไม่เบื่อ หากมีโอกาสเผยแพร่ต่อบุคคลอื่น ผมจะทำทันที เพราะของดีๆ แบบนี้หากเก็บไว้กับตัวคนเดียวก็จะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป

          ผมเองก็เช่นกัน ชั่วชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากพอควร แม้ไม่เท่าคุณอานันท์ก็ยังไม่เคยเห็นยุคใดที่มีการจาบจ้วงสถาบันด้วยวิธีการสกปรกทุกรูปแบบอย่างที่เป็นอยู่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และชักจะเหิมเกริมหนักข้อเข้าทุกที เพราะหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างที่ควรจะเป็น

          ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั้นไม่มีการโจมตีสถาบันแต่มีน้อยมาก และมักเกิดขึ้นในกรณีพิเศษ เช่น ครบรอบ 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ หรือ ในบางโอกาส แต่ไม่เคยแตะที่พระจ้าอยู่หัวเลย แต่คราวนี้ แม้แต่ก่อนการยืดอำนาจก็มีการโพสต์ข้อความใจมตีสถาบันตรงๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผู้ที่พบเห็นได้แจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันทีที่พบ แต่ดูเหมือนว่าผู้รับผิดชอบขณะนั้นสกัดกั้นค่อนข้างช้า โดยไปบล็อคข้อความอื่นที่มีความสำคัญเร่งด่วนน้อยกว่า แต่กลับปล่อยข้อความจาบจ้วงสถาบันอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่งจนมีคนด่ามากขึ้นถึงปิด

          เป็นที่ทราบกันว่า สื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้นหากปล่อยให้ข้อความปรากฏเพียงไม่กี่นาที คนก็สามารถส่งต่อไปได้อีกมากมาย

          หลังการยึดอำนาจเมื่อปี 2549 การโจมตีสถาบันสูงสุดเป็นไปอย่างรุนแรงและกว้างขวางมากขึ้นผ่านสื่อต่างๆ แม้แต่สื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับก็ทำกันอย่างไม่เกรงกลัวโดยใช้วิธีการคาบลูกคาบดอก ส่วนสื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้นไม่ต้องพูดถึง มีการโพสต์ข้อความโจมตีอย่างตรงๆ ไม่อ้อมค้อม และทำอย่างเป็นขบวนการโดยมีการวางแผนมาอย่างดี ซึ่งใช้คนจำนวนน้อย ค่าใช้จ่ายต่ำแต่ได้ผลสูง

          มีคนเล่าให้ฟังว่า ข้อความที่ขบวนการพูโลในสวีเดนโพสต์โจมตีหรือวิพากษ์วิจารณ์สถาบันนั้น ยังไม่รุนแรงเท่ากับคนข้างในทำกันเอง การโพสต์ข้อความโจมตีประธานองคมนตรีเท่ากับข้อความที่โจมตีสถาบันโดยกลุ่มซ้ายเก่าและกลุ่มซ้ายใหม่

          ทั้งนี้ หน่วยงานความมมั่นคงน่าจะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง และใครเป็นผู้กระทำ การที่ไม่ตอบโต้อย่างที่ควรจะเป็น ทำให้คนพวกนี้เกิดความเหิมเกริมมากยิ่งขึ้น

          ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สถาบันเป็นฝ่าย "ถูกกระทำ" มาโดยตลอด โดยไม่มีโอกาสออกมาชี้แจงได้เลย ซึ่งผู้กระทำ คงมองแล้วว่า หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ "ไม่มีน้ำยา" 

          กลุ่มผู้กระทำมีแนวคิด "ต้องการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ต้องการเปลี่ยนประเทศไทย สร้างประเทศไทยใหม่ขึ้นมา" ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่า พวกนี้ต้องการเปลี่ยนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเป็นประชาธิปไตยโดยมหาประชาชน อย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามโอกาสที่เปิดให้

          คนกลุ่มนี้ยังเชื่อในวิธี "ชนบทล้อมเมือง" โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ชนชั้นล่าง ในชนบทผ่านการเผยแพร่แผ่นปลิว ซีดี และใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อจากปากสู่ปาก เป็นความพยายามเปลี่ยน "ศรัทธา" ของคนในชนบท

          สถานการณ์ที่เป็นอยู่ทำให้ทหารใหญ่บางท่าน เริ่มตระหนักถึงอันตรายร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นกับสถาบันสูงสุดของประเทศ ขณะนี้และประกาศว่า "ทหารเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว" อีกทั้ง ผบ.ทบ.มีคำสั่งให้สื่อของกองทัพ หากไม่สามารถหยุดยั้งได้ และปล่อยให้แนวโน้มเป็นเช่นนี้ต่อไป นอกจากคนไทยซึ่งปัจจุบันมีความแตกต่างทางความคิดจนนำไปสู่ความแตกแยก แบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจนแล้ว เวลาที่จะ "แตกหัก" มันใกล้เข้ามาทุกที ครั้งนี้จะเป็นการ "แพ้-ชนะ" อย่างเด็ดขาด และอาจมีการเสียเลือดเนื้อเป็นเรื่องที่น่าเศร้า สมัยก่อนศึกสงครามมาจากข้างนอก แต่วันนี้ศึกมาจากข้างในและคนไทยกำลังจะสู้รบกันเอง ช่วยปกป้องสถาบันมากขึ้น

          อย่างน้อยไม่ได้มีประชาชนเล็กๆ คนหนึ่งเช่นผมที่มองเห็นอันตรายที่คุกคามต่อสถาบัน และได้เขียนในกรอบนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่ยังมีผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เช่น คุณอานันท์ และนายทหารใหญ่อีกหลายคนที่มองเห็นภัยคุกคามเช่นนี้

          หากไม่สามารถหยุดยั้งได้และปล่อยให้แนวโน้มเป็นเช่นนี้ต่อไป นอกจากคนไทยซึ่งปัจจุบันมีความแตกต่างทางความคิดจำนำไปสู่ความแตกแยก แบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจนแล้วเวลาที่จะ "แตกหัก" มันใกล้เข้ามาทุกที ครั้งนี้จะเป็นการ "แพ้-ชนะ" อย่างเด็ดขาด และอาจมีการเสียเลือดเนื้อ

          เป็นเรื่องที่น่าเศร้า สมัยก่อนศึกสงครามมาจากข้างนอกแต่วันนี้ ศึกมาจากข้างในและคนไทยกำลังจะสู้รบกันเอง

 

ข้อมูลและภาพประกอบจาก

หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2551

 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เรื่องที่น่าเศร้า ของเมืองไทย โพสต์เมื่อ 12 พฤษภาคม 2551 เวลา 12:19:36 38,927 อ่าน
TOP