x close

คุณปู่นักพิทักษ์สายน้ำ แห่งคลองลาดโตนด

ปู่เตี้ย


          "ขอวอนทางรัฐบาลและขอวอนทุกท่านหมดเลยว่า ขอให้ช่วยกันรักษาแม่น้ำต่างๆ ไว้ด้วย โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยา ขอให้คนกรุงเทพฯ ช่วยกันรักษา" ความตอนหนึ่งในกระแสพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2550 

          ปู่เตี้ย เสลาคุณ เป็นชาวเมืองหลวงโดยกำเนิดผู้หนึ่ง ที่ปฏิบัติตนสนองแด่กระแสพระราชดำรัส โดยนับจากเกษียณอายุราชการในตำแหน่งพนักงานคุมเครื่องยนต์ กรมวิชาการเกษตร

          เมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ปู่เตี้ยจะพายเรือไม้ลำเล็กคู่ชีพที่หาซื้อมาจากจังหวัดสมุทรสงคราม สำหรับใช้หาปลาในวัยหนุ่ม เก็บขยะในลำคลองลาดโตนด ที่มีความยาวราว 1 กิโลเมตรเป็นประจำแทบทุกวัน แม้อายุจะล่วงเลยมาถึงวัย 72 ปีแล้วก็ตาม หากยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะทำ 

          ที่เป็นเช่นนี้ เพราะปู่เตี้ยอาศัยอยู่ริมคลองนี้มาตั้งแต่เกิด เติบโตเข้าวัยหนุ่ม จนกระทั่งล่วงสู่วัยชราอย่างปัจจุบัน จึงรู้สึกผูกพัน หวงแหน จนไม่คิดจะย้ายถิ่นฐานไปไหน ถึงแม้จะมีคนมาเสนอขอซื้อที่ดินที่มีอยู่ประมาณ 2 ไร่อยู่เนืองนิตย์ หากไม่ทันได้เสนอหรือต่อรองราคา ปู่เตี้ยตอบกลับไปเหมือนกันทุกครั้งว่า ไม่ขายจะเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานได้ภาคภูมิใจ 

          "ผมอยู่กับน้ำมาตลอด สมัยเป็นนักเรียน พอเดินกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านก็จะกระโดดลงเล่นน้ำทุกวัน จนโตเป็นหนุ่มทำงานแล้วก็ยังทำแบบนี้ น้ำคลองนี้ตอนนั้นใสสะอาดมาก และเพราะน้ำประปายังเข้ามาไม่ถึง คนที่อยู่ริมคลองจึงใช้ประโยชน์จากน้ำในคลองอย่างคุ้มค่าที่สุด ทั้งอาบ ซักเสื้อผ้า ล้างจาน และดื่ม สามารถจับปู ปลา หรือเก็บผักบุ้ง บัว ผักน้ำต่างๆ มาทำเป็นอาหาร จนได้ชื่อว่าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา" ปู่เตี้ยเล่าย้อนอดีตตั้งแต่เริ่มจำความได้ด้วยแววตาเปี่ยมสุข 

          ปู่เตี้ยเล่าต่อพร้อมกับน้ำใสๆ เริ่มคลอเบ้าตาว่า เมื่อราวปี 2506 ช่วงที่ปู่เตี้ยมีอายุราว 20 กว่าปี ริมคลองลาดโตนดในพื้นที่เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร มีผู้คนย้ายเข้ามาอาศัยตั้งรกราก ณ ที่แห่งนี้มากขึ้น เวลาผ่านไปเพียง 1 ปี ผืนนาที่รายล้อมบ้านไม้หลังเล็กของลุงเตี้ย ซึ่งเห็นจนเจนตามาแต่ไหนแต่ไร เริ่มเปลี่ยนแปลงกลายเป็นตึกรามบ้านช่องอันทันสมัย พร้อมๆ กับน้ำในลำคลองเริ่มเป็นสีดำส่งกลิ่นเหม็น 

          ในช่วงการเปลี่ยนผ่านของสายน้ำ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อาศัยเดิมไม่น้อย ปู่เตี้ยต้องเดินเท้าจากบ้านไปกว่า 2 กิโลเมตร เพื่ออาบน้ำและหาบน้ำกินกลับมาจากคลองประปาวันละ 2 ปี๊บทุกวัน เป็นเช่นนี้เรื่อยมา 3-4 ปี น้ำประปาจึงเข้าถึงชุมชน 

          จากนั้นน้ำในคลองลาดโตนดก็ไม่เหลือเค้าความทรงจำในอดีตของปู่เตี้ยอีกเลย ปู ปลาหายสิ้น ผักนานาพันธุ์ถูกแทนที่ด้วยขยะหลากหลายประเภท ปู่เตี้ยทำได้เพียงพายเรือลำน้อยเก็บขยะในคลอง หวังจะช่วยลดปริมาณขยะที่ไม่อาจจับมือคนทิ้งมาดมได้ และนั่งมองน้ำเน่า สูดดมกลิ่นเหม็นของสายน้ำที่ไหลผ่านบ้าน ซึ่งอดีตเคยเป็นดั่งสายน้ำแห่งชีวิตของปู่เตี้ย 

          "ทุกวันที่ต้องนั่งดูและสูดกลิ่นน้ำเน่า ทำให้จิตใจเราห่อเหี่ยว หงุดหงิด คนที่เขาอยู่แต่กับถนน ไปไหนมาไหนด้วยรถ บ้านเรือนตั้งอยู่ริมถนนเข้าออกสะดวก ยิ่งเด็กสมัยนี้ด้วยแล้ว วันๆ อยู่แต่ในหมู่บ้านจัดสรร นั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรือดูทีวี ไม่เคยได้สัมผัสกับวิถีชีวิตริมน้ำ เขาก็ไม่รู้คุณค่าของแม่น้ำลำคลอง ไม่รู้ซึ้งถึงคำว่าสายน้ำคือชีวิตหมายถึงอะไร ก็ไม่แปลกที่เขาจะไม่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์น้ำ" ปู่เตี้ยกล่าวอย่างคับแค้นใจ 

          คลองลาดโตนดภาพลำคลองลาดโตนดที่มีน้ำใส ไม่มีกลิ่น ปู ปลา สัตว์น้ำแหวกว่ายไปมา เลือนหายไปจากสายตาของปู่เตี้ยมาเกือบ 50 ปี ถึงวันนี้เดือนพฤษภาคม 2551 ลำคลองสายเดิมที่เคยพานพบกับความเน่าเสียจากน้ำมือของมนุษย์ กลับค่อยๆ ฟื้นคืนสู่สภาพที่ดีขึ้น ภาพที่เมื่อครั้งอดีตเริ่มปรากฏออกมาปู่เตี้ยให้เห็น ปูกลับมา ปลากลับมา ตะพาบน้ำกลับมา น้ำเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีเขียวของตะไคร่ กลิ่นเหม็นคละคลุ้งจางไป 

          คลองลาดโตนดความเปลี่ยนแปลงของคลองลาดโตนดที่ปู่เตี้ยได้เห็นอีกครั้งในวัย 72 ปี ทำให้ปู่เตี้ยถึงกับน้ำตาไหลและเอ่ยปากด้วยเสียงสั่นเครือว่า ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็นคลองลาดโตนดมีสภาพดีขึ้นอีก แม้น้ำจะไม่ใสเท่าเดิม แต่ก็ดีใจมาก แล้วที่เริ่มมีสัตว์น้ำมาอยู่ เป็นสิ่งบ่งบอกว่าสายน้ำแห่งนี้จะกลับมาเป็นสายน้ำแห่งชีวิตของคนแถบนี้อีกครั้ง จิตใจของเราก็ผ่อนคลาย


ข้อมูลและภาพประกอบจาก

 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
คุณปู่นักพิทักษ์สายน้ำ แห่งคลองลาดโตนด โพสต์เมื่อ 25 พฤษภาคม 2551 เวลา 11:44:07 2,549 อ่าน
TOP