x close

ความรักนำทางเราไป หมิว ลลิตา



          เธอเป็นนางเอกน้ำดีที่ทุกวันนี้ไม่มีใครนึกถึงเธอในทางเสียหาย

          เธอสวย น่ารัก มีความคิด ไม่มีจริตจก้านให้ขัดหูขัดตา และวางตัวดีนับตั้งแต่เข้าวงการเมื่ออายุ 16 ปี จนบัดนี้ผ่านไป 20 ปีเต็ม

          ชีวิตปัจจุบันของ หมิว-ลลิตา ศศิประภา มีวงจรง่ายๆ นั่นคือได้ทำงาน ซึ่งยังคงเป็นงานในแวดวงละคร ภาพยนตร์ และงานถ่ายแบบ ส่วนที่หเลือ เธอเทให้กับชีวิตครอบครัวทั้งหมด โดยเฉพาะการดูแลลูกชายที่น่ารักทั้งสอง คือแพลงก์ต้อนกับอีตั้น ซึ่งกำเนิดมาจากคู่ชีวิตของเธอ ก้อง-นรบดี ศศิประภา

          หมิวสวยสง่าอยู่บนปก First ในฉบับปฐมฤกษ์ ฉบับนี้เราขอฉลองเล็กๆ ว่าเรายืนระยะกันมาครึ่งปี 12 ฉบับแล้ว อยากให้เธอมาเป็นนางแบบปกของเราอีกสักครั้ง เธอตอบรับด้วยความยินดี พร้อมทั้งถ่ายทอดมุมมองผ่านการสัมภาษณ์พูดคุยอย่างเป็นกันเอง

          คุณรู้มั้ยว่า ในใจของเราทุกคน หมิวนี่แหละ คือผู้หญิงในแบบที่สาว First ควรมอง

   เข้าวงการครั้งแรก

          หมิว : โห! ตอนนั้นเด็กมากนะ รู้สึกจะตอน 9 ขวบ ถ่ายละครกับแม่  หมิวแค่เดินผ่านฉาก ไหวไปไหวมา (หัวเราะ) ที่รัชฟิล์มทีวี ช่อง 5 ตอนนั้นแม่เล่นละครอยู่กับรัชฟิล์ม รู้สึกในฉาก หมิวจะขายข้าวต้มมัดด้วยมั้ง (หัวเราะ)  นั่นแหละ ครั้งแรกจริงๆ

          ต่อมาก็ได้เป็นนางเอกตอนเด็กเรื่อง "สะไภ้สลัม" ของค่ายรัชฟิล์ม ต่อมาจึงมาเริ่มแสดงละครเด็กที่ช่องสาม เรื่อง 6 พี่น้อง ต้นส้มแสนรัก จนมาถึงตอนอายุ 16 ปี ถึงได้เล่นเป็น "ปริศนา" ของพี่ไก่-วรายุฑ มิลินทจินดา ซึ่งคนส่วนมากก็จะจำหมิวได้ตอนเป็นปริศนานี่เอง ตั้งแต่นั้นจึงแสดงกับช่อง 3 มาตลอดค่ะ

   หนังเรื่องแรก

          หมิว : เรื่อง "แรงเทียน" ของค่ายพรพจน์ฟิล์มค่ะ น่าจะตอนอายุ 16-17 ปี  พี่ออฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง เป็นพระเอก บทที่เล่นเป็นเด็กสาวซึ่งผิดหวังจากผู้ชายคนหนึ่ง แล้วก็ไปเจอผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งไม่แน่ใจว่าเขาจะซื่อตรง ซื่อสัตย์กับเรามากแค่ไหน เป็นผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองมาก แต่กับความรัก ไม่มีอะไรทำให้มั่นใจได้เลย

          หลังจากนั้นก็เริ่มมีงานเดินแบบ ถ่ายแบบเข้ามา มีงานพิธีกรด้วยนะคะ แต่ทำได้ไม่นาน ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ถนัดงานพิธีกรเลย หมิวว่ามันยากนะคะ ไม่เหมือนงานเล่นหนังหรือละคร งานถ่ายแบบก็สนุกดี

   รางวัลแรกที่ได้ในชีวิต

          หมิว : ได้รางวัลตุ๊กตาเงิน ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ จากเรื่อง ‘แรงเทียน’ นั่นแหละค่ะ เป็นเหมือนดาวรุ่ง  คือเขาจะแยกนักแสดงหน้าใหม่ออกจากนักแสดงมืออาชีพ  มืออาชีพหรือนางเอกรุ่นโตจริงๆ ก็ได้ตุ๊กตาทองไป ส่วนละครนั้น หมิวได้รางวัลโทรทัศน์ทองคำจากละครเรื่อง ‘ทรายสีเพลิง’ เป็นรางวัลแรกค่ะ

   รักครั้งแรก

          หมิว : นานมากๆ จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว เพราะมันเป็นความรักกระจุ๋มกระจิ๋มแบบเด็กหนุ่มเด็กสาว น่าจะเป้ฯตอนมหาวิทยาลัยนะคะ ซึ่งก็แค่กุ๊กๆกิ๊กๆ กันไปเรื่อยเปื่อย

          มาจริงจังเมื่อเจอนรบดี (ศศิประภา) เขานี่แหละค่ะ (หัวเราะ) ตอนนั้นอายุ 29 ปี ซึ่งก็โอเคนะ (ยิ้มเขิน) เขาเป็นคนที่หมิวรู้สึกว่าน่าจะใช่นะคะ ซึ่ง...(นิ่งคิด) ก็ใช่มาถึงตอนนี้แหละ (หัวเราะ) ไม่มีเหตุอะไรแล้ว ไอ้เหตุกับผลตอนนี้มันไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่แล้ว เวลาเปลี่ยน ตัวเราเองก็ส่วนหนึ่งด้วย  มัน คือการเรียนรู้กันอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนหนุ่มๆ สาวๆ หรือช่วงที่คนจีบกันเล่นๆ เพราะนี่คือชีวิตคู่ มันจึงต้องจริงจังและต้องปรับตัวกันทั้งคู่ ซึ่งหมิวว่ามันก็ดีไปอีกแบบหนึ่ง

   เป็นเรื่องปกติใช่มั้ย การปรับตัวในชีวิตคู่

          หมิว : คะ หมิวว่ามันก็น่าจะเป็นอย่างนี้กันทุกคู่นะคะ เพียงแต่ว่า เมื่อลงไปในรายละเอียดของแต่ละคู่ มันก็จะต่างกันตรงที่แต่ละคนคงเปลี่ยนแปลงในระดับที่ไม่เท่ากัน ทุกคนจะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงกันได้แค่ไหนเท่านั้นเอง

   ลูกคนแรก

          หมิว : ตอนนี้เขา 7 ขวบแล้วค่ะ  ฟันเพิ่งหลอซี่แรก เขาจะเป็นเด็กลุยๆ หน่อย ห้าวๆ ชอบเล่นกีฬา ชอบไปโรงเรียน ดี๊ดีนะคะ (หัวเราะ) มีลูกแล้วเขาชอบไปโรงเรียนนี่ แม่ชอบมากเลย (ยิ้ม)

   จำความรู้สึกแรกตอนมีลูกได้มั้ย

          หมิว : ดีใจค่ะ แต่มันก็ไม่เหมือนตอนที่เขาคลอดออกมาแล้ว แล้วก็โตขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกมันก็...ผูกพันกันมากขึ้น เวลาที่เรามีอะไรให้กัน หรือได้ทำอะไรให้เขา หรือเขาทำอะไรเพื่อเรา อย่างตอนนี้เขาโตแล้ว เขาก็ทำอะไรให้เราได้บ้าง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้คาดหวัง แต่บางทีเวลาที่ลูกบอกรักเรา หรือให้สัมผัสอะไรบางอย่างกับเรา เราก็ได้รู้ว่า อ๋อ...นี่เองนะ ความรู้สึกผูกพัน ความอบอุ่น

   แวบแรกที่เห็นลูกตอนแรก

          หมิว : โห! นี่ลูกฉันเหรอ ทำไมถึงเหมือนลิงอย่างนี้ล่ะ (หัวเราะ) เขาจะตัวดำๆ ม่วงๆ แล้วนี่คือลูกฉันเหรอ ทำไมหน้าไม่เหมือนฉันเลย ทำไมเหมือนลิงอย่างนี้ ขนเต็มไปหมดเลย ดูสิ ดันมีความรู้สึกอย่างนั้นไป (หัวเราะ)  ทำไมลูกหน้าตาอย่างนี้นะ ประหลาดจริงๆ

          แต่เด็กที่คลอดออกมาใหม่ๆ หน้าตาไม่เหมือนกันนะคะ อย่างอีตั้น ออกมาปุ๊บ เขาน่ารักเลย เห็นแล้วรู้สึกว่าเขาน่ารักจัง แต่แพลงก์ต้อนนี่ ขนเขาเต็มหน้าผากเลย แล้วก็ตัวม่วงๆ





   ฝ่ายพ่อล่ะ เขาเป็นอย่างไรบ้าง ตอนเห็นลูกครั้งแรก

          หมิว : ไม่รู้ค่ะ (ยิ้ม) ต้องถามเขา แต่ดูๆ อาการแล้ว หมิวว่าเขาก็คงตื่นเต้นตกใจเหมือนกันนะ เพราะว่าการมีลูกครั้งแรกมันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นตกใจสำหรับทุกคนแหละ หมิวว่าน่า ทุกคนคง...อ๋อ นี่เหรอลูกที่อยู่ในท้องมา 9 เดือน

   เมื่อมีลูกแล้ว ก็ถือว่าความเป็นครอบครัวครบถ้วนบริบูรณ์ ตอนนั้นคุยกับก้อง-นรบดีว่าอย่างไรบ้าง

          หมิว : ไม่ได้คุยเลยค่ะ หมิวว่าทุกคนคงอยู่กันตามธรรมชาตินะ คงตั้งกฏกติกามารยาทกันไม่ได้ ขนาดตัวเราเองยังเปลี่ยนแปลงเลย คือ ตอนแรกๆ เรายังมีความเกรงใจในตัวเขา คิดว่านะคะ เพราะว่าเพิ่งมาอยู่ด้วยกันใหม่ๆ แต่พออยู่กันไปนานๆ เราก็เริ่มจะเป็นตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นตั้งกฏกันไว้ไม่ได้มากมายหรอก ต้องปรับกันทั้งคู่น่ะค่ะ อะไรที่อีกคนจะไม่พอใจ หรือทำแล้วเขาไม่มีความสุขเอามากๆ ก็คงไม่ทำ แล้วก็หวังว่า เขาก็คงไม่ทำอย่างนั้นกับเราเหมือนกัน ถ้าเขารักเรานะ ตรงนั้นมันน่าจะเป็นการกระทำที่แสดงความรักมากกว่าการที่จะมาตั้งกฏเกณฑ์ ว่าต้องทำอะไรบ้าง บางทีไม่พูดก็น่าจะรู้ได้เองว่าอย่างนี้ไม่ชอบนะ ไม่ต้องมานั่งแจงกันหรอกว่าอันนี้อะไร

          แต่เราก็ต้องรับเขาได้ด้วยเหมือนกันนะ บางทีเรื่องหยุมหยิมจุกจิกมากมายก็ต้องปล่อยไป ซึ่งผู้ชายเขาไม่ค่อยคิดมากอะไรกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้อยู่แล้ว แต่ผู้หญิงชอบคิดมากกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

          ตอนนี้แต่งกันมา 7 ปีแล้ว ก็เรียนรู้ว่าอย่าไปหยุมหยิมมาก เพราะถ้าไปหยุมหยิมมากมันจะเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งน่าปวดหัว เสียเวลา แทนที่จะได้อยู่กับเขา กับลูก มีความสุข ได้หัวเราะคิกคัก ก็ต้องปล่อยๆ ไปบ้าง

          แต่มันก็มีกติกาแบบรู้ๆ กันเองนะคะ ต้องรู้กันบ้างว่าแบบนี้ไม่น่ารักแล้วนะ ไม่ใช่แบบลั้ลลั้ลลา สบาย เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่แล้ว เพราะตอนนี้เรามีครอบครัว เรามีลูก เอาลูกเป็นหลัก ลูกต้องมาที่หนึ่ง แต่ก็รับผิดชอบหน้าที่การงานของตัวเองด้วย และก็ช่วยกันเลี้ยงลูก ช่วยกันสร้างครอบครัว

   ชีวิตแต่งงาน 7 ปี ดูจะมีอาถรรพ์เหมือน "แดง" ที่หมิวเล่นในหนังเรื่อง "พลอย" ซึ่งคล้ายกับต้องผจญอาถรรพ์ 7 ปีชีวิตคู่มั้ย

          หมิว : เดี๋ยวนะ หมิวขอพูดแบบทั่วๆ ไปก่อนว่า มันก็เป็นไปได้นะ ที่วันหนึ่งผู้หญิงซึ่งเป็นภรรยาของใครสักคนจะเป็นเหมือนแดงในหนังเรื่องพลอย ผู้หญิงที่อยู่กับใครสักคนมา ซึ่งระยะเวลา ตอนหลังคนมันไปกำหนดเป็นสูตรเอาเองแหละ ว่าอาถรรพ์ 7 ปี ชีวิตคู่ แต่จริงๆ บางคู่ไม่ถึง 7 ปี มีปัญหากันแล้วก็มี บางคน 3 ปี บางคน 5 ปี ถ้ามันจะเกิดมักน็เกิดได้

           อย่างแดงในเรื่องพลอย เขาดูเป็นคนขาดความรักด้วยนะ เพราะผู้ชายเขาไม่ได้ให้ความรักเขาเต็มที่ เขาจึงเกิดความไม่มั่นใจในตัวสามีของเขา ว่าเอ๊ะ! ไปเอาเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ขึ้นมาที่ห้อง มันยังไงเหรอ ฉะนั้นก็เห็นใจแดงเหมือนกันนะ เพราะผู้ชายเขาไม่ได้ดูแลเธอมากเท่าที่ควร นึกจะไปดูบอลก็ไปกับเพื่อน อยากจะกินข้าวกันสองคน ก็อ้าว! เราทำร้านอาหารด้วยกัน ก็กินกันที่ร้านอยู่แล้ว อย่างนี้ยังไม่พออีกเหรอ ผู้ชายก็คิดอย่างนั้น แต่ผู้หญิงเขาต้องการมากกว่านั้น หรือเมื่อตอนจีบกันหรือคบกันใหม่ๆ คุณแคยทำอย่างไรไว้ มันก็ควรจะทำอย่างเดิมบ้าง มันคือสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงเขาตกหลุมรักคุณน่ะ พอแต่งงานกันแล้ว ทำไมคุณไม่รักษาสิ่งนั้นไว้ล่ะ

          แต่ผู้หญิงแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนะคะ มันขึ้นอยู่กับผู้ชายด้วย ถ้าผู้ชายเขาดูแลตลอดหรือไม่ได้ทำให้รู้สึกเขาเปลี่ยนไป ทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางจิตใจ มันก็ไม่น่าจะมีปัญหานะ

   อะไรที่ผู้ชายทำได้บ้าง

          หมิว : ความเสมอต้นเสมอปลายไงคะ ไอ้ตอนที่มาจีบกันหรืออยากจะเป็นแฟนกันก็ทำทุกอย่างเต็มที่เลย   แต่ผ่านไปสักพักยังทำอย่างนั้นอยู่มั้ยล่ะ ก็ควรจะคิดให้ออกว่าเมื่อตอนนั้นเราได้ทำกับเขามาอย่างไร ก็ควรจะเสมอต้นเสมอปลายนะ

   เวลาหมิวเล่นหนังหรือละคร หมิวมักได้บทผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะจนคนจำได้  อย่างเช่น "ปริศนา"

          หมิว : ค่ะ แต่ตอนนี้เป็นอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้วนะคะ เพราะเธอใสบริสุทธิ์มากเลย (หัวเราะ) เวลาคนถามว่าชอบละครเรื่องไหน หมิวจะบอกว่าหมิวชอบปริศนา เพราะความใสบริสุทธิ์ของคนนี่ มันกลับคืนมาไม่ได้ จะให้ไปทำอย่างนั้กน็ไม่ไหวแล้ว บทมันคงต้องใกล้เคียงกับความเป็นปัจจุบันของตัวเองหรือเป็นบทชีวิตมากขึ้น เพราะเราโตขึ้น เราเจอเรื่องราวในชีวิตมากขึ้น กลับไปแบ๊วไม่ไหวแล้วค่ะ (หัวเราะ) ก็เลยประทับใจปริศนา ว่า เออ...มันบริสุทธิ์ดีนะกับบทนางเอกละครฟอร์มใหญ่เรื่องแรก แล้วเราก็เล่นได้ใซ้ใสแบบนั้น

   แล้วบทอย่าง "วนิดา" ล่ะ

          หมิว : วนิดานี่ หมิวจำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้วนะคะ จำได้ว่าเล่นกับพี่ตั้ว-ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ก็เป็นผู้หญิงที่ตกอยู่ในภาวะจำยอมตามลักษณะของคนสมัยก่อน  ในรายละเอียดก็คงต้องไปอ่านจากนวนิยายเอานะคะ  ตอนนี้เขาพิมพ์ออกมาใหม่แล้ว ควรอ่านค่ะ

   ผู้หญิงสมัยนี้เป็นอย่างไรในสายตาของหมิว

          หมิว : เขาก็ดีนะคะ เป็นตัวของตัวเองมาก ดูแลตัวเองได้ตั้งแต่ต้น มีความคิดเป็นของตัวเอง แข็งแรงกว่าผู้หญิงรุ่นปริศนา วนิดา ซึ่งดูเหมือนจะยอมๆ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยยอมกันแล้วล่ะ

   ดีขึ้นมั้ย เป็นอย่างนี้

          หมิว : ดีขึ้นแน่ๆ หมิวว่าถ้าผู้หญิงจะต้องไปยอมเสียทุกอย่างเหมือนสมัยนั้น คงจะแย่แน่ๆ (หัวเราะ) มันควรจะเปิดช่องให้ผู้หญิงได้มีที่ทางของตัวเองหรือได้ระบายออกมาบ้าง มันก็น่าจะเท่าๆ กันนะ ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง

   แล้วผู้ชายปัจจุบันล่ะกับผู้ชายในอดีตล่ะ

          หมิว : อูย...ไม่ทราบจริงๆ ค่ะ ก็อยู่กับก้องคนเดียว ถ้าพูดถึงก้องล่ะก็ได้ (ยิ้ม) ก้องเขาก็มีความเป็นตัวของตัวเองนะคะ ซึ่งหมิวก็ว่าดีนะคะ ใครจะอยากอยู่ในแบบที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง การที่เขาปรับให้เรา เราก็ปรับให้เขาเหมือนกัน ต้องหาจุดสมดุลกันให้เจอ

          ไม่รู้สิ มันจะมีหรือคะ ผู้ชายในฝัน ที่ไม่มีปัญหาใดๆ เลย ไม่สร้างปัญหาอะไรเลย หรือ แม้แต่ผู้หญิงที่เป็นนางฟ้าผู้นั้น เธอผู้ซึ่งดีเลิศ เลิศเลอเหลือเกิน แบบในนิยายสมัยก่อน ปัจจุบันไม่รู้ว่าจะมีหรือเปล่า ก็น่าจะมีปัญหากันบ้างแหละนะ แต่ก็ปรับๆ กันไป ชีวิตจริงมันคงต้องเป็นแบบนั้น มันไม่ใช่นิยาย

   คำว่าครอบครัวสำหรับหมิว มันหมายถึงอะไรบ้าง

          หมิว : ครอบครัวของมิวตอนนี้ คงต้องรวมถึงลูกด้วยแน่ๆ นะคะ  มันเป็นก้อนที่โตมากคิด เวลาจะคิดอะไรสักอย่างจึงต้องคิดเยอะๆ เพราะมันไม่ใช่แต่เราตัวคนเดียว หรือแค่เรากับสามีเราเท่านั้น มันต้องมีเด็กเข้ามาเกี่ยวข้อง มีเขารวมอยู่ด้วยในความคิดต่างๆ ซึ่งมักน็อบอุ่นดีนะ เวลาเราคิดถึงกันครบๆ โปรเจ็คต์มันก็ใหญ่ขึ้นและระยะยาวมากขึ้น  แต่ก็อย่าไป อู๊ย! ซีเรียส เครียดกับมันหมด หมิวว่าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ชีวิตส่วนตัว ชีวิตคู่ หรือการเลี้ยงลูก ทำให้มันพอดีๆ น่ะ มันจะสบาย ถ้าเราไปตั้งกฏหรือตั้งความหวังกับมันมากเกินไป มันก็เหนื่อยตัวเราเอง หรือถ้าหย่อนยานเกินไป ไม่รับผิดชอบอะไรเลย ก็ควรจะถามตัวเองว่า แล้วมีครอบครัวไปทำไม ทำไมไม่อยู่คนเดียว ทั้งหมดมันจึงต้องพอดีๆ ค่ะ

   เป็นคนบ้างานมั้ย

          หมิว : เมื่อก่อนอาจจะใช่ ทำเยอะ เพราะเราอยู่คนเดียว แล้วก็เป็นคนที่สนุกกับงาน แต่ตอนนี้ความรู้สึกส่วนใหญ่ชอบอยู่กับลูกนะ อยากดูเขา แต่งานก็ทำ เพราะมันหน้าที่การงานของเรา เราก็ต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุด ในกรณีที่เรารับแล้ว  แต่เวลาที่เสร็จงานแล้ว วันว่าง หรือวันหยุด เราก็อยากจะอยู่กับครอบครัว ไม่ได้อยากไปไหน อยากอยู่กับลูก อยากไปส่งตอนเช้า อยากไปรับเขากลับจากโรงเรียน เพราะมันอีกไม่นานที่เขาจะอยากอยู่กับเรา อย่างแพลงก์ต้อน ตอนนี่เขาก็ขึ้น ป.2 แล้ว หมิวว่าอีกไม่นานเขาก็คงจะเริ่มอยากอยู่กับเพื่อนแล้วล่ะ

          ช่วงนี้หมิวจึงมีความสุขที่จะได้อยู่กับลูก ชอบแอบมองว่าเวลาเขาอยู่กับเพื่อนเขาทำอะไร เขาเป็นยังไง แต่เขาฟันหลอเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา เราก็ขำกันอยู่ 2 อาทิตย์เต็มๆ คนอื่นเขาอาจจะไม่รู้สึกหรอก แต่ว่าเราเป็นแม่ไงคะ  เวลาที่เขาเป็นอะไรก็ตาม เราก็จะรู้สึก เออ...ตลกดีนะ เด็กคนหนึ่ง พอเห็นเพื่อนตัวเองฟันหลอ ก็พยายามที่จะโยกฟันตัวเองทุกวัน เอาหัวโขกรถ ทำเป็นอุบัติเหตุ แล้วก็บอกแม่ว่า "แม่...เนี่ยฟันกำลังจะหลุดแล้ว กำลังจะหลุดแล้ว" (หัวเราะ) หมิวยังบอกเขาเลยนะ ว่า "ลูก ทำไมหนูจะต้องไปตามเขาด้วยล่ะ"

           แล้ววันหนึ่งที่ฟันหลุดไปจริง เขาก็เสียเซลฟ์ว่า "แม่...ฟันหลออ้ะ" แล้วจะให้ทำไง ก็ฟันมันหลุดไปแล้วน่ะ มันก็เลยตลกว่าพวกนี้นี่มักก็แปลกนะ บทอยากจะฟันหลุดก็ทำทุกอย่าง พอหลุดแล้วไปเจอคุณยาย คุณยายก็บอกว่า เฮ้ย! ฟันหลอ ไอ้หลานก็เสียความมั่นใจในตัวเองไป ซึ่งมันตลกดีนะเนี่ย เรื่องที่มันดูเหมือนเล็กๆ น้อยๆ แต่มันก็เป็นความสุข มันน่ารักดี เป็นดอกเบี้ยความสุขรายวัน

   แล้วในอะไรเกี่ยวกับลูกไว้บ้าง

          หมิว : ไม่ได้ฝันอะไรเลยค่ะ (ยิ้ม) รอให้เขาฝันของเขา ว่าเขาอยากจะเป็นอะไร หมิวเองแค่คาดหวังว่าลูกจะโตมาเป็นคนดี รับผิดชอบตัวเองได้เมื่อวันที่ไม่มีเรา เขาก็อยู่กันสองคนพี่น้องได้ เพราะเราคงไม่สามารถจะอยู่ดูแลเขาไปได้ตลอด มันก็คงจะแค่ช่วงต้นๆ นี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ อนาคตมันเป็นสิ่งไม่แน่ไม่นอน หมิวจึงหวังแค่ว่าเขาจะดูแลตัวเองได้ แล้วก็รักกัน เป็นพี่น้องที่รักกันเท่านั้นน่ะ

   หมิวเป็นลูกคนเดี่ยวนี่ ลูกสองคนอยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

          หมิว : หมิวดีใจนะ ที่เราตัดสินใจมีลูกสองคน เพราะเห็นเขาเป็นเพื่อนกัน เล่นกันตลอดเวลา หมิวเองเล่นกับเด็กไม่เก่งเลย ตอนมีแพลงก์ต้อนนี่ชัดเลย ว่าเราเล่นกับเขาตลอดเวลาไม่ได้ แต่พอแพลงก์ต้อนมีน้องคืออีตั้น เขาจะเล่นกันได้ตลอดเวลาเลย สนุกมีแต่เสียงหัวเราะ บางทีก็มีบ้างนะคะ เสียงร้องไห้ เพราะเด็กก็มีช่วงเวลาตีกัน แกล้งกัน  แต่มันก็ยังดีกว่าเป็นลูกคนเดียว อย่างน้อยเขาก็มีพี่อน้องไว้เป็นเพื่อนกัน พอใครสักคนไม่อยู่ก็คิดถึงกัน น่ารักดีเวลาที่เห็นเขามีอาการแบบนี้

   งานของหมิวในปัจจุบันล่ะ

          หมิว : มีละครของพี่ไก่-วรายุฑ เรื่อง "สู่ฝันนิรันดร" แว่วๆ ว่าจะออกอากาศทางช่อง 3 ช่วงเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้นะคะ ตอนนนี้ถ่ายไปได้ครึ่งเรื่องกว่าๆ เป็นเหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน แล้วกำลังจะเริ่มถ่ายช่วงที่ย้อนเหตุการณ์กลับไปในอดีต เพราะในเรื่องจะมีเหตุการณ์ทะลุมิติย้อนกลับไปในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นละครพีเรียดครึ่งหนึ่ง ตอนนี้กำลังเจอกับ พี่นก-ฉัตรชัย เปล่งพานิช อยู่ในกรุงธนบุรี





   ยังคงเป็นนางเอกของพี่ไก่-วรายุฑอยู่เสมอ

          หมิว : (ยิ้มไม่ตอบอะไร ก่อนจะพูดว่า) หมิวว่าพี่ไก่เป็นคนทำละครพีเรียดได้ดีนะคะ เพราะเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดมาก แล้วก็ลงทุนเต็มที่  แค่ฉากบ้านทรงไทย หรือแม้แต่ต้นไม้ก็ลงใหม่หมดเลย บ้านคนติดริมแม่น้ำก็สร้างใหม่ เรือหรือแขกแพที่เขาขายของในสมัยก่อน พี่ไก่ลงทุนทำหมดทุกอย่าง แล้วเหมือนด้วย ความจริงหลบกล้องเอาก็ได้ แต่พี่ไก่ละเอียดมาก ควายก็เอามา วิวทุ่งนาข้างหลังก็เอาไว้ เห็นเขาทำแล้ว...ยอมเขาเถอะ เขาเต็มที่

   ยังรักงานแสดงอยู่

          หมิว : ค่ะ แต่ก็คิดจะทำอย่างอื่นอยู่เหมือนกัน ในอายุหนึ่ง อย่างปัจจุบันก็สนใจเรื่องโฮมสเตย์หรือห้องให้คนเช่าอยู่ อยากทำร่วมกับเพื่อน

   แต่ไม่ถึงกับเบื่อแล้วการแสดง

          หมิว : ยังๆ ยังไม่ถึงอารมณ์นั้นค่ะ  แต่ก็อยากทำอย่างอื่นบ้างประกอบกันไป หนังยังไม่มี ตอนนี้แค่ถ่ายละครเรื่องนี้กับงานถ่ายแบบกับหนังสือเล่มต่างๆ แล้วก็ดูแลลูก มันก็ไม่มีเวลาเหลือแล้วนะคะ ชีวิต 7 วันต่อหนึ่งสัปดาห์ ถ่ายละครไปแล้ว 4 วัน ที่เหลือก็เป็นงานถ่ายแบบหนังสือ ฉะนั้นเวลาน้อยนิดที่เหลืออยู่จริงๆ ขอเอาไปอยู่กับลูกบ้าง  มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วที่เราทำงานมากกว่านี้ ตอนนี้เราอยากใช้เวลากับลูกด้วย

   งานแสดงอย่างหนังเรื่อง "พลอย" นี่ หมิวก็มีชื่อเข้าชิงรางวัลดารานำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมทุกเวทีเลย ถึงไม่ได้รางวัลก็เถอะ รู้สึกยังไงบ้าง

          หมิว : ดีค่ะ อย่างน้อยก็ยังเข้าตากรรมการ เพราะตอนเล่นบทแดงในหนังเรื่องนี้ มันหนักมาก เธอเป็นผู้หญิงที่เครียดมากๆ คนหนึ่งเลย กดดันตัวเองไปหมด เขาเหมือนผู้หญิงยุคก่อนนะ ที่ไม่ยอมระบายตัวเองออกมา จึงเหมือนเก็บกดปัญหาเอาไว้ ผู้หญิงสมัยนี้คงไม่ทำอย่างนั้น มีอะไรก็เคลียร์เลย ให้มันชัดๆ กันไปเลย เล่าแจ้งไปเลย ไหน...ลองว่ามาซิ ว่าเป็นยังไง แต่ยัยแดงนี่ แกนั่งคิดเองงงเองของแกอยู่อย่างนั้นแหละ สงสารจริงๆ เลย

    คำจำกัดความของผู้หญิงชื่อหมิวคืออะไร

          หมิว : อือ...ไม่มีมั้งคะ ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดของชีวิตก็คือ อยู่เพื่อลูกนะคะ แล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะเรายังเป็นทั้งแม่ของลุก แล้วก็ลูกของแม่ โดยเฉพาะการเป็นแม่ของลูก ตอนนี้อยากทำให้ดีที่สุด เพราะลูกยังเล็ก จะดูแลเขาจนกว่าจะถึงวันที่เขาดูแลตัวเองได้

          แล้วอีกหน้าที่หนึ่งซึ่งก็สำคัญเหมือนกัน คือหน้าที่ภรรยา พูดออกมาเป็นฉากๆ คงไม่ได้ เพราะมันไหลไปตามสถานการณ์ แล้วก็อย่างที่บอก หมิวกับก้องอยู่กันตามธรรมชาติ สิ่งที่ทำได้คือการจัดสรรเวลาของเรา เวลาที่จะอยู่กับลูก กับแม่ และเวลาที่จะอยู่กับเขา

          ตอนนี้โชคดีไปอย่างหนึ่ง คือ แทนที่จะต้องแบ่งเวลาไปดูแลแม่ กลายเป็นว่าแม่มาช่วยหมิวดูแลลูก (ยิ้ม) ที่บ้านเลย หมิวก็เลยโชคดีมากที่ทุกวันนี้ได้อยู่ทั้งกับแม่และกับลูก เวลาไปต่างจังหวัดหรือมีกิจกรรมอะไร ก็จะทำด้วยกัน ไปกันเป็นแพคเกจ ความสุขมันก็เลยมาเป็นก้อนโตๆ อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้วล่ะค่ะ

   อยากให้ผู้หญิงสมัยนี้ทำอะไรหรือเป็นอย่างไรบ้าง

          หมิว : ผู้หญิงสมัยนี้ ยังไงก็ขอให้ดูแลตัวเองให้ได้ หมิวเชื่อว่าการที่เราดูแลตัวเองได้มันช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองประมาณหนึ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องดีที่สุด หรืออยู่หัวแถวอยู่ตลอดเวลา เราอยู่ตรงไหนก็ได้ ไม่ว่าจะกลางแถวหรือท้ายแถว ขอให้ยืนด้วยสองขาตัวเองให้ได้ นั่นเป็นความน่าภูมิใจอย่างมากแล้ว

          การจะแต่งงานมีครอบครัวหรือไม่มีมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ อยู่ที่ใครจะเลือกทางไหน แต่ที่สำคัญ เราต้องยืนอยู่ด้วยขาของเราให้ได้ พึ่งตัวเองให้ได้ ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ชีวิตเราก็จะดี เราจะได้เป็นคนเลือกสิ่งต่างๆ ให้แก่ชีวิตของเราเองได้ ทีนี้พอเรายืนมั่นคงแล้ว เมื่อเรามีครอบครัวหรือมีคนอื่น เราก็สามารถที่จะร่วมดูแลพวกเขาได้ด้วย พูดง่ายๆ ว่า เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ (หัวเราะ) ก่อนที่จะไปพึ่งใครหรือช่วยใคร เราต้องดูแลตัวเองให้ได้ก่อน จะได้ไม่เป็นภาระหรือไปเพิ่มปัญหาให้คนอื่นเขา



ข้อมูลจาก
 
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ความรักนำทางเราไป หมิว ลลิตา อัปเดตล่าสุด 30 พฤษภาคม 2551 เวลา 16:51:16 49,435 อ่าน
TOP