x close

อี85 ส่อเค้าพับ! ค่ายรถเมินแผนหนุนผลิต

น้ำมันอี 85


          "สุวิทย์" เผย 14 ค่ายรถเมินนโยบายส่งเสริมอี 85 อ้างสิทธิประโยชน์ที่ออกมาไม่จูงใจพอให้เร่งทำรถยนต์ประเภทนี้ จี้ออกมาตรการเพิ่มเติม แย้มอาจให้บีโอไอเข้ามามีบทบาทช่วยอีกทาง ฮอนด้าขอเน้นแผนปั๊มอีโคคาร์เหมือนเดิม "พูนภิรมย์" คลอดโรดแมปเอ็นจีวี ปีหน้าสถานีบริการครบ 76 จว.ทั่วไทย ฝันเพิ่มจำนวนรถเป็น 3.3 แสนคัน ในปี2555 ราคาน้ำมันโลกวูบ 2 ดอลลาร์


          นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการหารือกับผู้บริหารระดับประธานของค่ายรถยนต์ในประเทศ 14 บริษัท กรณีรัฐบาลมีนโยบายการส่งเสริมน้ำมันอี 85 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนว่า ค่ายรถยนต์มองว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ออกมา ยังไม่จูงใจพอที่จะทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์เร่งทำเรื่องรถยนต์อี 85 ได้ และอยากให้มีมาตรการเพิ่มเติม เพื่อจะให้ไทยกลายเป็นฐานการผลิตรถยนต์อี 85 ให้ภูมิภาค หลังจากนี้จะต้องพิจารณารายละเอียดร่วมกัน โดยกระทรวงจะหาแนวทางใช้มาตรการของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เข้ามามีบทบาทเพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์


          ''บริษัทรถยนต์ต้องการความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลมากกว่านี้ว่าจะเดินหน้าอย่างไร ทั้งแผนการเตรียมการผลิตเอทานอล ทิศทางการรับมือ ภาวะราคาน้ำมันแพง ซึ่งอยากเห็นแผนระยะยาว เพราะทางออกของปัญหาน้ำมันไม่ได้มีเฉพาะเอทานอล แต่ยังมีรถไฮบริดจ์และรถไฟฟ้าด้วย ขณะที่การเตรียมตัวของเอกชนต้องใช้เวลาและมีต้นทุน ส่วนรถอี 85 จะนำเข้ามาได้เร็วแค่ไหน ขึ้นกับความต้องการของตลาดและมาตรการจูงใจของภาครัฐ'' นายสุวิทย์กล่าว


          นายสุวิทย์กล่าวว่า สำหรับแผนการเตรียมการผลิตเอทานอลขณะนี้ กระทรวงอยู่ระหว่างการทำรายละเอียดของแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยทั้งระบบ 3 ปี ตั้งเป้าจะต้องเพิ่มปริมาณอ้อยมากขึ้น 1.5 เท่า มั่นใจว่าปริมาณอ้อยที่ออกมาจะเพียงพอสำหรับรองรับความต้องการใช้อี 85 ซึ่งขณะนี้หากจะผลิตอี 85 ก็เชื่อว่าปริมาณเอทานอลยังมีเพียงพอ


          หากมีความต้องการใช้น้ำมันอี 85 เพื่อทดแทนเบนซินระดับ 10-20% ในขณะนี้เชื่อว่าปริมาณการผลิตเอทานอลที่มีอยู่ในตลาดก็เพียงพอที่จะรองรับ แต่แผนการพัฒนาอ้อยจะมีการทบทวนทุกปี เพื่อให้รองรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความต้องการใช้เอทานอล จึงเชื่อว่าจะไม่เป็นปัญหาในระยะยาว'' นายสุวิทย์กล่าว


          นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานอาวุโส บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า ฮอนด้ายังยืนยันแผนการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์เหมือนเดิม จะไม่มีการปรับสเปครถเพื่อรองรับอี 85 เพราะรัฐบาลไม่มีนโยบายส่งเสริมเพิ่มเติม หรือให้สิทธิประโยชน์มากกว่าที่ได้รับ แต่ในอนาคตอาจเกิดขึ้นได้ หากตลาดมีความต้องการรถประเภทนี้มาก และราคาน้ำมันยังอยู่ระดับสูง ซึ่งประเมินว่าภายใน 3 ปีจากนี้ราคาน้ำมันคงจะไม่ปรับลดลงอย่างรวดเร็ว 
 

          นายอดิศักดิ์กล่าวว่า เอทานอลมีค่าพลังงานน้อยกว่าน้ำมันประมาณ 30%หากจะให้คุ้มทุนราคาน้ำมันน่าจะอยู่ระดับ 40-50 บาทต่อลิตร ส่วนความนิยมของอี 85 จะมีมากน้อยเพียงใด ขึ้นกับทิศทางของตลาดรถและการสนับสนุนของรัฐบาล ตลอดจนภาวะราคาน้ำมัน ซึ่งข้อดีของอี 85 คือสามารถใช้น้ำมันเบนซินได้ทุกชนิด


          ''นโยบายรัฐบาลเดินมาถูกต้องแล้วที่ไม่ลดภาษีนำเข้าให้กับรถยนต์อี 85 โดยตรง แต่ลดภาษีชิ้นส่วนอุปกรณ์ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์ แม้จะสามารถช่วยลดการนำเข้าน้ำมันได้ แต่ประเทศก็ต้องสูญเสียเงินตรานำเข้ารถยนต์แทน ซึ่งมีราคาแพง และอาจจะต้องใช้เวลานานถึง 5 ปีกว่าจะคุ้มทุน สำหรับราคารถยนต์อี 85 นั้น น่าจะอยู่ระดับใกล้เคียงกับรถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันอี 20 ได้ เพราะอัตราภาษีอยู่ในระดับเท่ากัน'' นายอดิศักดิ์กล่าว


          ขณะที่ พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแถลงแนวทางการดำเนินงาน(โรดแมป)เอ็นจีวีว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้เตรียมขยายสถานีบริการเอ็นจีวีให้ครอบคลุม 76 จังหวัด จากปัจจุบันที่มีอยู่ 45 จังหวัด ให้ได้ภายในปี 2552  ภายใต้โครงการเอ็นจีวีทั่วถึงทั่วไทย สำหรับแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าวกระทรวงจะเร่งสร้างท่อก๊าซ 3 สาย ให้แล้วเสร็จในปี 2555 วงเงินลงทุนรวม 51,650 ล้านบาท


          ทั้งนี้ แบ่งเป็น 1.ท่อสายเอเชีย (สีเหลือง) ความยาว 250 กิโลเมตร จากวังน้อยถึงนครสวรรค์ วงเงินลงทุน 19,120 ล้านบาท 2.ท่อสายมิตรภาพ (สีแดง) ความยาว 170 กิโลเมตร จากแก่งคอยถึงนครราชสีมา วงเงินลงทุน 13,810 ล้านบาท และ3.ท่อสายเพชรเกษม (สีส้ม) ความยาว 270 กิโลเมตร จากราชบุรีถึงประจวบคีรีขันธ์ วงเงินลงทุน 18,720 ล้านบาท  กระทรวงพลังงานยังตั้งเป้าหมายการขยายเอ็นจีวีในภาคขนส่ง ปี 2551-2555 ว่า ประเทศไทยจะต้องมีรถยนต์ทั้งรถโดยสารสาธารณะและรถยนต์ส่วนตัวที่ใช้เอ็นจีวีเพิ่มขึ้นจาก 55,868 คัน ในปี 2550 เป็น 332,000 คันในปี 2555 และจะมีปริมาณการใช้เอ็นจีวีเพิ่มจาก 640 ตันต่อวัน ในปี 2550 เป็น 12,220 ตันต่อวัน ในปี 2555 พร้อมตั้งเป้าเพิ่มรถส่งเอ็นจีวีทั่วประเทศเพิ่มจาก 900 คัน เป็น 3,150 คัน


          สำหรับการดำเนินงานตามโรดแมปเอ็นจีวีของกระทรวง จะทำให้ไทยสามารถทดแทนน้ำมันในภาคการขนส่งได้เพิ่มขึ้นจาก 2% ในปี 2550 เป็น 20% ในปี 2555 ทั้งนี้ คิดเป็น มูลค่าทดแทนการนำเข้าต่อปีจาก 3,140 ล้านบาท ในปี 2550 เป็น 19,450 ล้านบาท ในปี 2551 และเพิ่มขึ้นเป็น 38,270 ล้านบาท ในปี 2552 และเป็น 56,355 ล้านบาท ในปี 2554 และกลายเป็น 94,570 ล้านบาท ในปี 2555 คิดเป็นมูลค่าสะสม 5 ปี รวม 286,220 ล้านบาท


          นอกจากนี้ กระทรวงยังได้ส่งเสริมการผลิตถังก๊าซเอ็นจีวี และชุดอุปกรณ์ในประเทศ โดยปัจจุบันมีสนใจผลิตถังซีเอ็นจี ในประเทศ 4 ราย ได้แก่ บริษัท เมทเทิล เมท มีปริมาณการผลิตปีละ 120,000 ถัง บริษัท Natural Gas Cylinder (Thailand) มีปริมาณการผลิตปีละ 250,000 ถัง บริษัท Plus Lab มีปริมาณการผลิตปีละ 300,000 ถัง และ MR.Han Hung Choi ประเทศเกาหลี มีปริมาณการผลิตปีละ 120,000 ถัง 


          ถ้าเราสามารถผลิตถังและพัฒนาชุดอุปกรณ์เอ็นจีวีได้ในประเทศไทย จะทำให้เราสามารถลดค่าติดตั้งได้คันละประมาณ 10,000 บาท ทำให้ราคาของการติดตั้งลดลงจากคันละ 50,000-60,000 บาท เหลือเพียงคันละ 38,000-55,000 บาท เราคาดว่าถังและชุดอุปกรณ์ที่ผลิตในประเทศไทยจะสามารถออกสู่ตลาดได้ภายในปีนี้ พล.ท.หญิงพูนภิรมย์กล่าว


          ทางด้าน พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้หารือตำรวจทางหลวงกรณีกลุ่มผู้ชุมนุม ผู้ประกอบการรถบรรทุกขู่จะบุกเข้าประท้วงใน กทม.หากรัฐไม่มีมาตรการช่วยเหลือที่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพง โดยจะใช้วิธีพูดคุยทำความเข้าใจ คาดว่ารัฐบาลน่าจะหาแนวทางตกลงกันได้ เพราะถ้าเข้ามาก็จะให้ประชาชนเดือดร้อนมากขึ้น แต่ก็เปิดโอกาสให้ชุมนุมอย่างสงบแต่หากทำผิดกฎหมายจนควบคุมไม่ได้ก็จะดำเนินการจับกุม ซึ่งไม่ได้เป็นการใช้คนละมาตรฐานกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เนื่องจากเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ตรงไปตรงมาน่าจะตกลงกันได้ ไม่ได้มีเงื่อนไขมากเหมือนการชุมนุมกลุ่มพันธมิตร


          ส่วนชมรมผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของกิจการปั๊มน้ำมันใน จ.สงขลา นำโดยนางระเบียบ จิตเกื้อ ประธานชมรม ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือผู้ประกอบการ ดังนี้ 1.ให้กำหนดค่าการตลาดที่เป็นธรรม เพราะกำไรขั้นต้นในปัจจุบันต่ำมากแค่ลิตรละ 40-80 สตางค์ ไม่สมดุลกับค่าใช้จ่าย ซึ่งรัฐบาลอาจชดเชยส่วนต่างที่หายไป 2.ควรยกเลิกกฎหมายการห้ามขายเหล้าขายบุหรี่ในปั๊มน้ำมัน เพื่อทำให้ปั๊มมีรายได้จากส่วนอื่น 3.ควรยกเลิกค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตในส่วนที่ปั๊มต้องจ่าย เนื่องจากธนาคารคิดค่าธรรมเนียมจากปั๊มน้ำมัน 1.5-25% อยากให้บริษัทแม่รวมตัวกันต่อรองกับธนาคาร โดยปั๊มไม่ต้องรับภาระส่วนนี้ แต่หากดำเนินการไม่ได้ ทางปั๊มก็จะงดรับบัตรเครดิต 4.ให้รัฐออกกฎหมายเปิดปิดปั๊มเป็นเวลา เช่น 06.00-18.00 น. และหยุดขายในวันอาทิตย์ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ และ 5.ขอให้ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีป้าย-โรงเรือน เฉพาะกิจการสถานีบริการให้เป็นธรรม


          สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไลต์สวีทซื้อขายในตลาดนิวยอร์กเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา ลดลงไปอีก 2.01 ดอลลาร์จากวันก่อนหน้า โดยปิดตลาดที่ 122.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยช่วงหนึ่งของการซื้อขายลงไปต่ำถึง 121.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็นราคาต่ำที่สุดในรอบ 1 เดือน หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐประกาศตัวเลขน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ที่แล้วระบุว่าความต้องการใช้น้ำมันเบนซินของสหรัฐลดลง 1.4% ขณะที่ปริมาณน้ำมันเบนซินในคลังเพิ่มขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ถึง 3 เท่า นอกจากนี้น้ำมันกลั่นอื่นๆ ได้แก่ดีเซลและเชื้อเพลิงทำความอบอุ่นก็เพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล


          ราคาน้ำมันที่ลดลงยังมีสาเหตุมาจากหลายประเทศในเอเชียที่เคยอุดหนุนราคาน้ำมันได้ประกาศลดการอุดหนุนและปรับเพิ่มราคาน้ำมัน ได้แก่ อินเดียประกาศขึ้นราคาน้ำมัน 11% มาเลเซียปรับขึ้น 40% ซึ่งทำให้ตลาดมองว่าราคาที่สูงขึ้นจะทำให้ผู้บริโภคลดการใช้น้ำมันลง ประกอบกับการที่องค์การความร่วมมือเพื่อเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) ได้ปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม 30 ประเทศรวมทั้งสหรัฐลง
ต่อมาในการซื้อขายที่ตลาดเอเชีย ราคาน้ำมันดิบไลต์สวีทลดลงอีก 26 เซ็นต์ ไปอยู่ที่ 122.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนที่ในช่วงบ่ายจะปรับขึ้น 44 เซ็นต์ ไปอยู่ที่ 122.74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล


          นายไซม่อน เฮริส์ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาดค้าปลีก บริษัท เชลล์ แห่งประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจะปรับลดราคาน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 50 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่ 05.00 น. วันที่ 6 มิถุนายน ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 40.09 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 อยู่ที่ 38.99 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 35.39 บาทต่อลิตร และแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 34.59 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันเบนซินของทุกบริษัทผู้ค้าน้ำมันเท่ากัน




ข้อมูลและภาพประกอบจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อี85 ส่อเค้าพับ! ค่ายรถเมินแผนหนุนผลิต อัปเดตล่าสุด 6 มิถุนายน 2551 เวลา 13:44:21 2,764 อ่าน
TOP