เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก พันทิปดอทคอม
ในขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงอึมครึมสับสน ประสบกับปัญหาทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และเรื่องต่างๆ สารพัดสารเพประดังประเดเข้ามา จนทำให้หลายๆ คนเหนื่อย. . . หมดแรง. . . ท้อแท้. . . สิ้นหวัง. . . และคิดกันไปต่างๆ นานา บ้างก็โทษคนโน้นโทษคนนี้ บ้างก็โทษโชคชะตาที่กลั่นแกล้งให้ต้องมาเจอกับอุปสรรคนานัปการ บางคนถึงกับเปรยออกมาว่า ... พอแล้ว ชีวิตนี้คงไม่หวังอะไรแล้ว ... พร้อมกับถอดใจค่อยๆ ถอยหลังออกมายอมแพ้กับชีวิตอย่างง่ายดาย
อยากจะบอกค่ะว่า. . . ท้อนะท้อได้แต่อย่ายอมแพ้ หรือถ้ายอมแพ้ก็ต้องรีบลุกขึ้นให้เร็วๆ เพราะมนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อ "แพ้" ดังเช่นผู้ชายสองคนนี้ แม้จะอยู่ห่างกันเกือบซีกโลก แต่ทัศนคติและความคิดของพวกเขากลับสร้างพลังเล็กๆ ที่ค่อยๆ รวบรวมเป็นกำลังใจดีๆ ให้กับผู้คนที่ได้สัมผัส ใช่แล้ว! เรากำลังพูดถึง "ฌ็อง-โดมินิก โบบี้" และ "โอโตทาเกะ ฮิโรทาดะ" ชายพิการที่พิสูจน์แล้วว่ามนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อยอมแพ้
"ฌ็อง-โดมินิก โบบี้" (Jean-Dominique Bauby) นักหนังสือพิมพ์ นักเขียน และบรรณาธิการของนิตยสาร ELLE ผู้ที่เคยเป็นที่ยอมรับของสังคม จนเมื่อวันที่วันที่ 8 ธันวาคม 1995 จู่ๆ เขาก็เกิดอาการเส้นเลือดสมองแตก ทำให้ก้านสมองเสียหาย และเมื่อฟื้นขึ้นมาเขาก็พบว่าตัวเองไม่สามารถพูดได้ และเป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว เขาสามารถเคลื่อนไหวศีรษะได้เพียงเล็กน้อย ส่งเสียงอืออาและกระพริบตาซ้ายได้เท่านั้น
แต่ในระหว่างที่เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น เขากลับมีแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือที่ชื่อว่า Le Scaphandre et Le Papillon (แปลเป็นภาษาไทยชื่อชุดประดาน้ำและผีเสื้อ) โดยให้คนท่องชุดตัวอักษรที่เรียงตามความถี่ในการใช้ในภาษาฝรั่งเศส และฌ็อง-โดมินิก โบบี้จะกระพริบตาเมื่อถึงตัวอักษรที่เขาต้องการ ซึ่งหนังสือของเขาวางขายในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2540 และขายได้ถึง 150000 เล่มในสัปดาห์แรก แต่อีกสามวันต่อมาเขาเสียชีวิต ซึ่งไม่มีการเปิดเผยสาเหตุการเสียชีวิตของเขา
"ชีวิตในสภาพที่ไม่สมศักดิ์ศรี ไม่อาจลดค่าความเป็นมนุษย์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความหวังลงได้ แม้ทุกวินาทีที่มีชีวิตอยู่เพียงแค่เพื่อขยับเปลือกตา แต่ไม่มีสักเสี้ยวที่ผมจะร้องขอให้ปลิดชีวิต ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง" ฌ็อง-โดมินิก โบบี้ เคยกล่าวไว้
ขณะที่ "โอโตทาเกะ ฮิโรทาดะ" เคยกล่าวไว้ว่า ผมไม่คิดว่าลักษณะนี้คือความพิการหรอกนะ เขาเรียกว่าลักษณะพิเศษต่างหาก สิ่งที่เราเรียกว่าความพิการนั้น จริงๆ แล้วความพิการ คือความไม่สะดวก แต่ไม่ใช่ความไม่สบาย และความฝันของผมคือสร้างโลกที่สงบสุข ถ้าความสามารถและบุคลิกลักษณะของผมสามารถนำผมเข้าใกล้จุดหมายนี้แม้เพียงก้าวเล็กๆ ผมคงมีความสุข และพบความหมายของการเกิดมาในโลก
โอโตทาเกะ เกิดเมื่อวันที่ 6 เมษายน ปีโชวะที่ 51 (ค.ศ. 1976) ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เกิดมาพิการไม่มีแขนขา เพราะเกิดจากความบกพร่องทางพันธุกรรมที่เรียกว่า คอนเจนิตัล เทตรา อะมีเลย (Congenital Tetra Amelia) จริงอยู่ที่โอโตทาเกะเกิดมาด้วยความผิดปกติ แต่เมื่อถึงวัยเข้าโรงเรียนคุณพ่อคุณแม่กลับพาเขาไปเรียนในโรงเรียนคนปกติ โดยฝึกฝนให้โอโตทาเกะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนปรกติในสังคม
จนในที่สุดนกน้อยที่ไร้ปีกและขาเช่นเขาก็สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นๆ ในโรงเรียน จนสำเร็จการศึกษาและเข้าทำงานเป็นนักข่าวสายกีฬาได้ แต่เขาก็มีความฝันที่อยากจะเป็นคุณครู ซึ่งเขาก็สามารถคว้าฝันเป็นคุณครูคนใหม่ได้เมื่อต้นเดือนเมษายน 2550 ด้วยปณิธานอบรมบ่มเพาะเยาวชนให้ยอมรับความแตกต่างในสังคม
"วันนี้เป็นวันอันยิ่งใหญ่สำหรับครู... พวกเธอบางคนถามครูว่า จะสอนอย่างไร? ก็ทำไมจะไม่ได้ล่ะ พวกเธอต้องช่วยครู เช่น เขียนกระดานให้ หรือไม่ครูอาจใช้แก้มกับไหล่หนีบชอล์กเขียนเองก็ได้" โอโตทาเกะแนะนำตัวเองต่อในวันเปิดเทอมวันแรก
และหลังเลิกแถว นักเรียนตัวน้อยหลายคนรุมล้อม ลูบคลำลำตัวไร้แขนขาของคุณครูคนใหม่ โอโตทาเกะ ยิ้มอย่างอบอุ่นตอบแทนความรู้สึกที่มีต่อลูกศิษย์ แต่อย่างไรก็ตามความกลัวก็ยังปรากฏในใจของคุณครูคนใหม่บ้างนิดหน่อย
"ผมหวังว่านักเรียนของผมจะยอมรับ และรู้สึกว่าธรรมชาติสร้างให้แต่ละคนเกิดมาต่างกัน ผมผ่านชีวิตมาไกลบนพื้นฐานความคิดง่ายๆ ว่าในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ผมท้าทายตัวเองให้ทำในสิ่งที่อยากทำ และผมอยากให้สังคมเลิกมองแค่ความพิกลพิการของผม แต่อยากให้ยอมรับความพิการนั้น" นี่คือความฝันเพื่อสร้างโลกแห่งความเท่าเทียมระหว่างคนไม่ครบห้าและคนปรกติ ซึ่งหลายๆ คนอาจมองว่ายากที่จะประสบความสำเร็จ แต่สำหรับนกน้อยโอโตทาเกะ นักสู้ที่ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ ก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จตามที่ฝันได้
อย่างไรก็ตามโอโตทาเกะ ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาโดยใช้ชื่อว่า "Nobody's Perfect" หรือ "ไม่ครบห้า" ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจากทั่วโลก
เป็นไงกันบ้างคะ. . . อ่านการสู้ชีวิตของ "ฌ็อง-โดมินิก โบบี้" และ "โอโตทาเกะ ฮิโรทาดะ" แล้วคุณยังจะท้อแท้หรือสิ้นหวังอีกไหม? พวกเขาทั้งสองแม้จะแขนขาด ขาด้วน ตาบอด หูดับ แต่พวกเขากลับมองว่าโลกนี้มีอะไรอีกมากมายให้ค้นหา จึงต้องอยู่สูดอากาศสู้กับปัญหากันต่อไป เพราะยังมีพื้นเล็กๆ ให้พวกเขาก้าวเดินต่อไปด้วยความมั่นใจ และมีความหวัง
ถึงแม้บางครั้งในบางครั้งชีวิตการทำงาน อาจจะไม่ได้รับคำยกย่องจากหัวหน้า ไม่ค่อยชื่นชอบของเพื่อนร่วมงาน หรือเป็นแค่คนตัวเล็กๆ สำหรับที่ทำงาน ไม่ค่อยมีใครเห็นคุณค่าในสายตา แต่กับครอบครัวแล้ว เรานั้นคือคนสำคัญที่สุดของพ่อแม่ และครอบครัวนะคะ หากท้อแท้อยากให้คิดถึงพวกท่านก่อนที่คุณจะตัดสินใจทำอะไรไปโดยพลการ เพราะไม่อย่างนั้นคนที่เสียใจ และปวดใจไปกับคุณที่สุดคือ พ่อแม่ และครอบครัวเราเอง ^-^
ข้อมูลจาก