แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งตับ เตือนผู้ป่วยและญาติอย่าสับสน วิตกกังวลว่าเป็นมะเร็งตับไม่มีทางรอด หากรักษาได้ถูกวิธี ทันเวลา ตั้งแต่ในระยะแรก โอกาสรอดชีวิตยังมี เผยปัจจุบันการรักษามีความทันสมัย หลายรูปแบบ ทั้งการผ่าตัดเนื้อร้ายทิ้ง การปลูกถ่ายตับ ใช้รังสีรักษา และรับประทานยาเม็ด แนะผู้ป่วยและญาติต้องทำความเข้าใจ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา พร้อมให้กำลังใจผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
ผศ.นพ.สุภนิติ์ นิวาตวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งตับ กล่าวในงานเสวนารู้ทันโรคตับ ตอน "มะเร็งตับใครว่าไม่รอด" ซึ่งจัดโดยศูนย์โรคตับและปลูกถ่ายตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ว่า ปัจจุบันยังมีผู้ป่วยและประชาชนอีกจำนวนมากมีความสับสน เข้าใจผิดเกี่ยวกับ "โรคมะเร็งตับ" ซึ่งคนส่วนใหญ่มักคิดว่าถ้าป่วยเป็น "โรคมะเร็งตับ" แล้วจะต้องเสียชีวิตเสมอไป ทั้งที่จริงๆ แล้วผู้ป่วยมะเร็งตับที่รอดชีวิตก็มีจำนวนมาก หากได้รับการรักษาที่ถูกวิธี ตั้งแต่ป่วยในระยะเริ่มแรก โอกาสที่จะหายเป็นปกติก็มีสูง
"ก้อนในตับ" เป็นความเข้าใจผิดอีกประเด็นหนึ่งที่มักคิดกันไปว่าเป็น มะเร็งตับ" โดย "ก้อนในตับ" นั้นอาจไม่ใช่มะเร็งตับเสมอไป "ก้อนในตับ" อาจเป็นเนื้องอกของเซลล์ตับ ฝีของตับ ถุงน้ำ เป็นซีสต์ (CYST) หรือซีสต์ชนิดที่เกิดจากการติดเชื้อในหนอนพยาธิ โดย "ก้อนในตับ" มี 2 ชนิด คือ เนื้องอกชนิดธรรมดา และก้อนมะเร็ง
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยมะเร็งตับ ญาติและผู้ดูแลผู้ป่วยอีกเป็นจำนวนมากยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดูแล รักษาผู้ป่วยที่ถูกวิธี อาจด้วยความเครียด วิตกกังวลว่าป่วยเป็น "มะเร็งตับ" จะต้องเสียชีวิต ไม่มีทางรอด ดังนั้นญาติ และผู้ดูแลผู้ป่วยจึงต้องศึกษา ทำความเข้าใจ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษา และให้กำลังใจผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
นพ.เจษฏ์ ศุภผล กล่าวว่า "โรคมะเร็งตับ" เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 5 ของโลก โดยแต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่ 1 ล้านคนต่อปี ซึ่งในประเทศไทยมะเร็งตับ เป็นโรคที่เกิดขึ้นเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเป็นมะเร็งตับ ได้แก่ ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง โดยพบว่า 50% ของผู้ป่วยเป็นมะเร็งตับมักมีภาวะตับแข็งร่วมด้วย นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับสารอะฟลาท็อกซินก็มีปัจจัยเสี่ยงเป็นมะเร็งตับ
สำหรับอาการของผู้ป่วยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีอาการอะไรเลยมาก่อนเลย และกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการต่างๆ มาเป็นระยะๆ ได้แก่ จุกท้อง รู้สึกแน่นบริเวณลิ้นปี่ ปวดไหล่ขวา เบื่ออาหาร น้ำหนักลด คลำก้อนได้บริเวณตับ มีภาวะตับแย่ลงอย่างรวดเร็ว โดยการรักษามะเร็งตับนั้นอาจต้องอาศัยแพทย์หลายสาขาร่วมกันรักษา ทั้งอายุรแพทย์ ศัลยแพทย์โรคตับและทางเดินอาหาร ขืนอยู่กับสภาวะของร่างกายในขณะที่ไปพบแพทย์ การทำงานของตับ และระยะการลุกลามของมะเร็ง โดยอาการของผู้ป่วยโรคตับนั้นแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ตับอักเสบเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ
วิธีการรักษา "มะเร็งตับ" มีด้วยกันหลายวิธี ได้แก่ การผ่าตัด โดยตัดตับส่วนที่เป็นเนื้อร้ายออกไป และการปลูกถ่ายตับซึ่งทั้งสองวิธีนี้เป็นวิธีการรักษาที่หวังผลมากที่สุด แต่ผู้ป่วยที่เหมาะสมต่อวิธีการผ่าตัดรักษาก็มีข้อจำกัดอยู่มาก โดยพบว่าส่วนใหญ่สามารถรักษาในโรคมะเร็งตับระยะเริ่มต้นและร่างกายผู้ป่วยต้องสามารถทนต่อการผ่าตัดได้เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆ ที่นำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งตับเช่นการฉายรังสี หรือการรับประทานยารักษามะเร็งตับชนิดเม็ดซึ่งเป็นวิธีการใหม่ที่มีการนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งตับในปัจจุบันเช่นกัน
ข้อมูลจาก
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต