วันนี้ (27 กรกฎาคม) พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้ร่วมประชุมเชิงวิชาการเรื่อง "บทบาทมุสลิมในยุคสังคมวิกฤต" จัดโดยเครือข่ายมุสลิมอภิวัฒน์และสมาคมผู้ผลิตและส่งออกสินค้าฮาลาลไทย โดย พล.อ.สนธิ กล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งว่า วันนี้สิ่งที่ต้องหันกลับมามองใน 3 ประเด็น คือ ทำอย่างไรให้มนุษย์ทั้งโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นมุสลิม มีสภาวะเศรษฐกิจที่ดี ทำอย่างไรให้มุสลิมที่อยู่ในประเทศไทยมีการศึกษาที่ดีขึ้น และชาวมุสลิมที่อยู่ในประเทศไทยต้องพัฒนาความรัก สามัคคี ให้มีความเป็นหนึ่งเดียว เหมือนกับที่ประเทศอื่นๆ ซึ่งต้องทำให้ไม่มีความแตกต่างทางศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี
ส่วนการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า จากที่ทุกคนได้ยินพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา ซึ่งต้องแก้โดยประชาชน และผู้นำองค์กรทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศมาช่วยกันคิดและช่วยกันแก้ปัญหาร่วมกัน โดยมีข้าราชการเป็นผู้สนับสนุน นำไปสู่หลักการการแก้ปัญหาสงครามประชาชน ที่ต้องให้ประชาชนช่วยกันแก้ไข ซึ่งจะหลุดจากเงื่อนไขของความไม่เป็นธรรมทางสังคม ความรุนแรง ความไม่เข้าใจ เชื่อว่าหากทำได้จะทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ชะลอความรุนแรงและเบาบางลงในที่สุด
จากนั้น พล.อ.สนธิ ได้ตอบคำถามภายหลังปาฐกถาพิเศษ ถึงปัญหาข้อพิพาทในประเด็นปราสาทพระวิหารว่า ตนทำงานตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มาเกือบ 30 ปี หรือตั้งแต่ปี 2512 สำหรับเขาพระวิหาร คือ สถานที่ที่ตนขึ้นไปบ่อยที่สุด เราเสียเขาพระวิหารครั้งที่แล้วเพราะการต่อสู้คดีในชั้นศาลโลก มีคนไทยกลุ่มหนึ่งนำข้อมูลการต่อสู้คดีไปขายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เราต้องเสียเขาพระวิหารเพราะสู้คดีไม่ได้ ในครั้งนี้เช่นกันตนไม่อยากให้เสียเป็นครั้งที่ 2 พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร คิดว่ารัฐบาลคงเข้าใจดีว่าตรงนั้นเป็นของเราอยู่ รัฐบาลคงต้องหาแนวทางการแก้ไขว่าดินแดนนั้นต้องกลับมาเป็นของเราในชั้นต้น ส่วนอื่นๆ ค่อยว่ากันอีกที
ข้อมูลและภาพประกอบจาก
