x close

สัมภาษณ์สุดท้าย... ยอดรัก สลักใจ

ยอดรัก สลักใจ
ยอดรัก สลักใจ
ยอดรัก สลักใจ



         ในที่สุด ยอดรัก สลักใจ ยอดนักร้องลูกทุ่งที่ถือเป็นตำนานอีกคนของวงการเพลงไทย ก็ได้สิ้นลมหายใจ ไปเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2551 ที่ผ่านมา ด้วยโรคมะเร็ง รวมอายุ 52 ปีเศษ ... ยอดรัก เป็นศิลปินลูกทุ่งที่มีความแตกต่างจากนักร้องทั่วไป ทั้งในแง่ประสบการณ์ความสามารถ และแนวความคิด 

         ข่าวสด ได้สัมภาษณ์พิเศษยอดรัก ในห้วงเวลาที่เจ้าตัวก็ทราบดีว่า นาทีแห่งชีวิตของตนเองเหลือไม่มากนัก เป็นการบอกเล่าประวัติของตนเองที่ละเอียดรอบด้านที่สุดครั้งหนึ่ง ข่าวสดได้ตีพิมพ์ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์นี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ได้รับความสนใจจากแฟนเพลงและประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง

          ในวาระที่ยอดรักจากไป ขอนำบทสัมภาษณ์นี้มาเสนออีกครั้ง โดยไม่มีการตัดทอน เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่นักร้องที่จากไป ทิ้งผลงานเพลง และความคิดความหวัง ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไปดังนี้ 

          ผมเป็นคนพิจิตร เกิดวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2499 ที่ ต.งิ้วราย อ.ตะพานหิน ที่บ้านทำนา ผมเป็นคนสุดท้องในจำนวน 8 คน พอผมอายุได้ 7 ขวบ พ่อก็เสีย แม่ก็เลี้ยงลูกทั้งหมดคนเดียว โดยมีที่นาเป็นของตัวเอง 20 กว่าไร่ หน้านาก็ทำนา พอเลิกหน้านา พี่น้องเขาก็ไปรับจ้าง แบกข้าวสารกันบ้างตามโรงสี เรื่องความลำบากถ้าพี่น้องของผมถือว่าลำบาก แต่ผมไม่ได้ลำบาก เพราะผมเด็ก ผมไม่ได้ทำอะไร เล่นไปเรื่อย ซนไปเรื่อย

          พอจบ ป.4 ขอแม่เรียนต่อ ตอนนั้นอายุ 11 ขวบ แต่แม่ไม่มีเงินส่ง ผมเลยออกจากบ้านมาร้องเพลงเชียร์รำวงที่จ.อุดรธานี เพราะว่ามีคนที่บ้านผมเขามาเปิดคณะรำวงที่นั่น เนื่องจากเป็นยุคที่ฝรั่งจีไอ มาตั้งฐานทัพในประเทศไทย ได้ค่าจ้างคืนละ 5 บาท ตกเดือนละ 150 บาท ส่งให้แม่เดือนละ 100 บาท ตัวเองใช้แค่ 50 บาท ซึ่งก็พอ เพราะกินฟรี อยู่ฟรี แต่ชีวิตสนุก เพราะว่าผมเป็นคนที่ชอบร้องเพลงอยู่แล้ว ยิ่งอยู่กับวงดนตรีซึ่งเป็นวงชาโด้อีกก็ยิ่งสนุก 

          ผมร้องเพลงทั่วไป ทั้งเพลงไทย เพลงฝรั่ง ซึ่งเพลงฝรั่งก็จดเนื้อเป็นภาษาไทย มั่วมั่งมีผิดบ้างถูกบ้าง เชียร์รำวงที่จ.อุดรธานี อยู่ประมาณ 2 ปี จากนั้นข้ามไปอยู่กับอีกวงที่เวียงจันทน์อีก 2 ปี ตอนที่ข้ามไปอยู่ฝั่งลาว เพลงไทยดำรำพันกำลังดัง จากนั้นกลับมาอยู่ฝั่งไทย และตระเวนไปหลายจังหวัด 

          สุดท้ายก็มาอยู่ที่ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เพราะยังมีจีไออยู่ที่สนามบินตาคลี ประมาณ 2-3 ปี จนฝรั่งเขายกทัพกลับไป ก็ไปร้องห้องอาหาร ตอนนี้เข้าไปร้องในห้องอาหารในโรงแรม

รวมภาพ - ยอดรัก สลักใจ


ตอนเด็กๆ ใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นนักร้องหรือเปล่า 

          ยอดรัก : ฝันมาตลอด อยากจะเป็นศิลปิน ตอนเชียร์รำ วงอยู่ในวง ผมก็หัดเล่นดนตรี ทั้งเบส กีตาร์ กลอง หัดเป่าแซกโซโฟน จนเป็นทุกอย่าง ยิ่งต่อมาทางยามาฮ่า เขาให้คนไปสอนโน้ตเพลงให้ผมก็เรียนจนเป็น จนตอนที่มาอยู่ตาคลีถึงขนาดเป็นครูสอนโน้ตให้คนอื่นได้เลย แต่กลางคืนยังเล่นดนตรีไปตามปกติ

เครื่องดนตรีไหนที่ถนัดที่สุด 

          ยอดรัก : กีตาร์ครับ เพราะเล่นกีตาร์อยู่ตลอด จนฝรั่งเขาซื้อกีตาร์ให้ตัวหนึ่งด้วยความถูกใจ คือ เราตั้งวงเอง เป็นวงชาโด้ 4 ชิ้น ผมเล่นกีตาร์ และก็เข้าไปเล่นในแคมป์ทหารจีไอ ผมเล่นและลีดกีตาร์เพลง ของ "ซานตาน่า" ได้เหมือนมาก ฝรั่งถูกใจมาก เลยซื้อกีตาร์ให้ จำได้ว่าเป็นกีตาร์ยามาฮ่าสีแดงตัวตัน แต่ก่อนตัวละประมาณห้าพัน เดี๋ยวนี้เป็นหมื่น แล้วมั้ง

ยอดรัก กับเครื่องดนตรีชิ้นโปรด


พอมาเล่นห้องอาหารร้องเพลงอะไร 

          ยอดรัก : เพลงทั่วไป ไม่ได้ยึดอะไร ร้องได้หมด แต่ที่ รักจริงๆ ก็เพลงลูกกรุงโดยเฉพาะแนวของชรินทร์ นันทนาคร จะชอบมาก

มาเป็น ยอดรัก ตอนไหน 

          ยอดรัก : ตอนร้องห้องอาหาร ตอนนั้นจะร้องเพลงได้หลากหลาย ร้องที่ร้านบ้านไร่รุ่งฤดี วันหนึ่งผมร้อง เพลงของไพรวัลย์ ลูกเพชร พอดีป๋าเด็ดดวง ดอกรัก ซึ่งเป็นนักจัดรายการวิทยุชื่อดังที่นั่น มานั่งกินอาหารที่ร้าน ได้ยินผมร้องเพลง แต่ไม่เห็นหน้า เขานึกว่าไพรวัลย์มาร้องเอง เขาสนิทกัน พอกลับถึงบ้าน เขาก็โทร.ไปต่อว่าไพรวัลย์ว่า ทำไมมาตาคลีไม่มาหาเขา ไพรวัลย์บอกว่าไม่ได้ไป 

          เขาก็คงจะสงสัยว่าใครร้อง ไม่นานป๋าเด็ดดวงกลับ มาที่ร้านอีก แล้วถามว่าวันนั้นใครร้องเพลงของไพรวัลย์ อยากจะให้ร้องเพลงของไพรวัลย์ให้ฟังอีก ผมก็ร้อง พอร้องเสร็จ เขาก็ให้เด็กเรียกผมไปพบ ถามว่าอยากอัดแผ่นเสียงไหม ผมบอกว่าอยากจะอัด เพราะว่าชอบอยู่แล้ว เขาก็เลยพาผมไปอัดแผ่นโดยใช้ชื่อว่า "ยอดรัก ลูกพิจิตร"

ทำไมเป็นชื่อ "ยอดรัก" 

          ยอดรัก : ป๋าเด็ดดวง เขาตั้งให้ เขาบอกว่าอยากจะให้คนรักมากๆ ส่วนนามสกุลก็คือบ้านเกิด แต่ปรากฏว่าเพลงชุดนั้นไม่ดัง เขาเลยเอาผมมาฝากให้กับ อาจารย์ชลธี ธารทอง แต่เหมือนเอามาฝึกความอดทนก่อน เพราะชลธีให้มาเลี้ยงลูกแก และก็ช่วยทำงานบ้านที่กรุงเทพฯ ทำทุกอย่าง

ตอนนั้นท้อไหม 

          ยอดรัก : เฉยๆ เพราะเราไม่รู้ว่าจะดังหรือไม่ดัง แต่ต่อมาแกเห็นความอดทนของเรา ก็เลยแต่งเพลง "จดหมายจากแนวหน้า" ให้ และก็ให้ร้องเพลงนี้อัดแผ่น ผู้ใหญ่ให้ร้องผมก็ร้อง ก็จะมีเพลง จดหมายแนวหน้า, เตยจ๋า, เต่าหมายจันทร์, รักสาวไกลบ้าน ช่วงนั้นประมาณปลายๆ ปี พ.ศ.2518 จำได้ว่า ลูกชายผมใกล้คลอดพอดี ป๋าเด็ดดวงก็เอาเพลงนี้ไปเปิด รายการเขามีอยู่ 9 โมงเช้า จำได้ว่า ลูกชายคลอดปุ๊บ ป๋าเปิดพอดีเลย จนกระทั่งแม่เขาจะตั้งชื่อลูกชายว่า "กลางดงควันปืน" เพราะเขาเกิดพร้อมกัน และเพลงก็ดัง โดยที่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าเพลงดัง จนมีคนมาบอกผมว่าเพลงดัง ต่อมา อาจารย์ชวนชัย ฉิมพะวงศ์ ก็เปลี่ยนชื่อให้ผมเป็น "ยอดรัก สลักใจ" เพราะยอดรักจะต้องสลักอยู่ในดวงใจของคน ชื่อ เก่า "ยอดรัก ลูกพิจิตร" เหมือนชื่อนักมวย

หลังจากนั้นชีวิตเปลี่ยนไป 

          ยอดรัก : ก็เปลี่ยน เพราะพอเพลงติด ก็มีงานมากขึ้น และสมัยนั้นนักร้องจะต้องมีวงดนตรีของตัวเอง ป๋าเด็ดดวง ก็เลยตั้งวงดนตรีให้ แต่ผมก็รับจ้างเป็นหัว หน้าวง ได้เงินคืนละ 20 บาทบ้าง 200 บาทบ้าง แล้วแต่วัน เพราะถ้าเก็บเงินได้เท่าไหร่ก็แบ่งกันทั้งวง ผมก็จะได้เท่าคนอื่น เพราะเราก็คือนักร้องในวงคนหนึ่งเหมือนกัน

ชุดต่อมาเป็นอย่างไร 

          ยอดรัก : ต่อมาก็ปี พ.ศ.2520 ก็ดังอีกและยังได้รับรางวัลพระราชทานเสาอากาศทองคำ ประเภทนักร้องยอดเยี่ยม ในเพลง "ทหารเรือมาแล้ว" ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มได้น้ำ ได้เนื้อแล้ว เริ่มดังจริง ไปเล่นที่ไหนคนก็ไปดูกันเยอะ

ยอดรัก สลักใจ


พี่เป้า-สายัณห์ สัญญา รุ่นเดียวกันไหม 

          ยอดรัก : เขาเป็นรุ่นพี่ ดังมาก่อน แต่ตอนนั้นมีสายัณห์ที่ไหนก็ต้องมียอดรัก มีพุ่มพวง ที่นั่น ตีคู่กันมาทั้ง 3 คน

ช่วงที่ถือว่าดังสุดๆ คือช่วงไหน 
           
          ยอดรัก : ช่วงเพลงชุด "30 ยังแจ๋ว" คือตั้งแต่ 2525-2530 ก็ดังมาตลอด และตอนนั้นค่าตัวก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,500 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมาก และผมก็เก็บเงินซื้อบ้าน ซื้อรถ ตอนนั้นจะซื้อที่หลักสี่ ไม่ใช่บ้านหลังปัจจุบัน

หลังจากนั้นชีวิตเป็นอย่างไร 

          ยอดรัก : ต่อมาผมหมดสัญญากับป๋าเด็ดดวง แล้วก็มาทำเพลงกับพนม นพพร ในชุด "เอาแน่" ก็ดังอีก จนถึงปี 2535 ผมเข้ารับราชการเป็นตำรวจ เป็นตำรวจมวลชนสัมพันธ์ ยศสิบตำรวจตรี เป็นอยู่ 10 ปีก็ลาออก สาเหตุที่ออก เพราะตอนนั้นจะมีการติดยศผมเป็นนายร้อยแต่มีปัญหา

ชีวิตที่ผ่านมาถือว่าเป็นไปในทางที่อยากให้เป็นหรือเปล่า 

          ยอดรัก : ชีวิตของผมมีทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งดีไม่ดี มันได้ทุกรสชาติ อดก็เคยอด เคยโดนสารพัดที่วงการเขาจะเอารัดเอาเปรียบกัน อย่างตอนที่ผมลงทุนเปิดบริษัท สลักใจโปรโมชั่น จำกัด แต่ประมาณ 8-9 เดือนก็เจ๊งไป 30 กว่าล้าน จนถูกฟ้องล้มละลาย

ช่วงนั้นออกมากี่ชุด 

          ยอดรัก : ออกมาเป็นสิบๆ ชุดเหมือนกัน ชุดแผลเก่า, มนต์รักลูกทุ่ง, ไกรทอง แต่เจอปัญหาเรื่องของปลอมเจ๊งหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย เป็นเหตุให้เป็นหนี้จนทุกวันนี้ ซึ่งบางคนคิดว่าที่ผมเป็นหนี้เกิดจากติดการพนันบ้าง ติดผู้หญิงบ้าง

เคยออกมาแก้ข่าวหรือเปล่า 

          ยอดรัก : ไม่เคย ทำไปก็เท่านั้น ไม่รู้จะโต้ไปทำไม ก็ปากคนก็พูดไป กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะเราเป็นคนที่เกลียดการพนัน แล้วอีกอย่างผู้หญิงเราก็ไม่เคยไปเสียเงินให้ สมัยนั้นนักร้องลูกทุ่งจะมีใครหล่อเท่าผม มันมีคนมาอิจฉาผม ขนาดผมเป็นมะเร็งยังมีคนว่าผมเเกล้งเป็น

ยอดรัก สลักใจ


มีคนตั้งฉายาว่า เป็นนักร้องการกุศล 

          ยอดรัก : ใช่ เพราะผมเป็นนักร้องอิสระ ถ้าเป็นงานการกุศล ทุกคนจะนึกถึงยอดรัก เราก็จะไป แต่ถ้าเป็นงานที่ได้เงิน ก็จะไปติดต่อกับค่ายนั้นค่ายนี้ เราก็นอนเฝ้าบ้าน เราก็เป็นนักร้องการกุศลมาตลอด

เคยน้อยใจหรือเปล่า  

          ยอดรัก : ไม่เคยน้อยใจ เพราะเราก็ถือว่าได้ช่วย แล้วผลตอบรับก็ทุกคนก็กลับมาช่วยผมอย่างทุกวันนี้ จนกระทั่งคนเขาหมั่นไส้ว่าทำไมช่วยแต่ยอดรัก ผมก็เลยตั้งคำถามย้อนกลับไปบ้างว่า ที่ว่านักร้องคนอื่นๆ ที่ป่วยแล้วไม่มีใครไปช่วยเขา ตอนที่ดังๆ เคยช่วยใครบ้างไหม เขาเคยทำคุณประโยชน์ให้คนอื่นบ้างหรือเปล่า ผมไม่เคยขอร้อง

          อย่าง "เสรี" (เสรี รุ่งสว่าง) ผมก็ไม่เคยขอร้อง แต่ที่เขามาช่วยเพราะเขารักผม อย่างคอนเสิร์ตที่จัดมาช่วยผมแม้แต่ในต่างประเทศจัดช่วยผม เพราะผมไปช่วยงานบุญ และไปสร้างความสุขสนุกให้เขา พอเราเจ็บไข้ได้ป่วยเขาก็รวมตัวกัน 

          หรืออย่าง "ดาร์กี้" ที่เขาจัดคอนเสิร์ตหาเงินช่วยผมเพราะบุญคุณ เขาเป็นนักแต่งเพลง เขาแต่งแล้วให้ผมร้องคือเพลง "รักแม่ม่าย" ตอนแรกเขาจะเอาไปขายให้ห้างแผ่นเสียง ผมดูแล้วว่าเพลงต้องดัง ผมเลยบอกดาร์กี้ไม่ต้องขาย ทำเองดีกว่า ผมมีทุน ผมก็ให้ทุนเขาไปทำ ปรากฏว่าขายดีมากจนมีรถมีบ้าน พอผมช่วยเขา เขาก็ตอบแทนผม พอเราเจ็บไข้ได้ป่วยเขาก็มาช่วยเรา หรืออย่างเสรี รุ่งสว่าง เราก็เคยช่วยเขา เขาทำปุ๋ย เราก็ไปจัดรายการช่วยเขา เขามีงานทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ไกลแค่ไหนผมก็ขับรถไปช่วยเขา เรื่องเงินเราไม่เคยพูด พอผมลำบากเขาก็มาช่วย 

          ผมถึงบอกว่า คนเราทำความดีไว้เถอะ มันไม่ได้เห็นถึงตอนตาย เรายังไม่ตายก็เห็นแล้ว ซึ่งอย่างผมก็เห็นแล้ว ทุกวันนี้ที่ผมรอดและอยู่ได้ ผมเชื่อว่าบุญรักษาผม ไม่ใช่ยา หรืออะไรทั้งสิ้น ซึ่งบุญนี้ผมรวมไปถึงกำลังใจหรือความช่วยเหลือต่างๆ ที่คนทำให้ผม 

          ทำไมคนที่ลำพูนขับรถมาเพื่อเอายามาให้ผม  สาเหตุก็คือ  ผมเคยไปสร้างโรงเรียนให้นักเรียนที่นั่นแห่งหนึ่ง หรือที่ตะพานหิน ที่บ้านตัวเอง ผมสร้างวัด สร้างๆๆ จนหลวงพ่อบอกว่าพอแล้ว เพราะไม่รู้จะทำอะไรแล้ว และหน่วยงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นฐาน ตชด. ขาดพระพุทธรูปไว้กราบไหว้บูชาและเอาไว้สวดมนต์เย็น ผมก็จัดหาให้หลายฐานในเมืองไทย ให้ทุนการศึกษาเด็ก ส่งจนจบปริญญา หรือนักเรียนจากทางภาคอีสาน อยากจะได้โต๊ะเพราะเด็กนั่งเรียนกับพื้นกัน ผมก็หาให้ และก็ยังมีทำอื่นๆ อีกมากมาย ทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร

ทำแบบนี้เพื่ออะไร 

          ยอดรัก : ทำเพราะว่าผมเคยจนมาก่อน เราจึงเข้าใจถึงความลำบาก พอเราพอมีพอกิน จึงอยากจะช่วยเหลือ และการทำของผมก็ไม่เคยที่จะไปบอกว่าเราทำอะไรไป เพราะไม่ชอบที่จะเอาหน้า ผมคิดอย่างเดียวว่าทำแล้วได้กับตัวเอง แล้วเวลาที่ผมขับรถไปแล้วไปเจอในสิ่งที่ผมเคยทำไว้ผมก็จะแวะเข้าไปดู เราก็จะเกิดความภูมิใจของเราเอง เคยมีที่ขับรถจากงานแล้วเจอคนแก่หาบของขายข้างถนน ผมก็จอดรถแล้วก็ไปเหมาของแกทั้งหมด ถ้าแกบอกว่า 500 บาท ผมก็จะให้ 1,000 บาทไปเลย และบอกให้แกกลับบ้านไปเลย ผมเอาของของแกใส่ท้ายรถมาด้วย เจอคนจนๆ หรือคนเฒ่าคนแก่ผมเอามาแจกอีก ตรงนี้เป็นความสุขของผม ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปบอกคนอื่น ผมถึงเชื่อว่าบุญช่วยผม ผมว่าทุกวันนี้พวกที่โลภๆ ทั้งหลาย มันไม่มีความสุขหรอก สู้ผมจนๆ ไม่ได้ มีความสุขมากกว่า ถึงกายมันจะลำบาก แต่ผมก็สุขใจ

ยอดรัก สลักใจ


ที่ผ่านมามองวงการยังไง 

          ยอดรัก : สกปรก ผมรู้สึกว่าวงการลูกทุ่งมีแต่ความริษยา อาฆาต ใครดีใครเด่นไม่ได้ ผมคิดว่าทุกวันนี้มีคนแช่งให้ผมตายเป็นร้อย เพราะพอผมตายเขาจะรวยกัน ห้างแผ่นเสียงตอนนี้จ้องที่จะอัดเพลงผมอยู่ เพลงเดียวเขาก็จะเอา เอาไว้เพื่ออะไร ไว้เพื่อจะโปะหัวอัลบั้ม มันก็จะบอกว่าเพลงสุดท้ายที่ยอดรัก ร้อง ตอนนี้ผมเรียกเพลงละแสนก็ยังมีคนจ้างผมอัดเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพลงละหมื่นก็ถือว่าแพงแล้ว ซึ่งตอนนี้ผมจะอัดไปทำไม ถ้าผมมีแรงร้อง ผมอัดเองไม่ดีกว่าเหรอ เอาไว้ให้ลูกให้หลานผมไม่ดีกว่าเหรอ ผมตายเมื่อไรเขารวยเป็นแถวเหมือนตอนที่พุ่มพวงตาย พอพุ่มพวงตายเขาขายเทปกันทีได้เงิน 20-30 ล้าน แต่ถามหน่อยว่า แล้วพุ่มพวงได้อะไร ลูกพุ่มพวงได้อะไร

มีเยอะไหมที่อยากจะให้อัดเพลงให้ 

          ยอดรัก : เยอะ มาเฝ้าที่บ้านก็มี เมื่อไรเราจะหายเหนื่อยเมื่อไรเราจะเสียงดี ขนาดแกล้งเรียกๆ ไปชุดละ 5 แสนยังเอา ก็เลยบอกว่าเมื่อไรเสียงผมดีแล้วจะไปร้องให้ เขาถึงบอกไว้นะ ยามป่วยกับยามจนถึงจะได้รู้ว่าคนเป็นไง ถ้ายามจนจะรู้ว่าเพื่อนเรามีสักกี่คน จนเมื่อไรจะรู้ว่าเรามีเพื่อนที่จริงใจกี่คน ลองจนดู จะได้รู้ว่าเพื่อนเรายังอยู่ ผมเคยจนมาแล้ว รู้ซึ้งแล้วเรื่องนี้

เคยจนขนาดไหน 

          ยอดรัก : ขนาดถูกฟ้องล้มละลาย เรื่องบริษัทนี่แหละ รถไม่มีจะขับจนต้องเอารถกระบะลูกน้องมาขับ เงินติดบ้านก็ไม่มี ตรงนั้นไม่เท่าไหร่ แต่มาทับถม มาดูถูกเราด้วยนะ ตอนจะปิดวงต้องขายสร้อยมาจ่ายลูกน้อง เพราะเราก็ไม่กล้าที่จะเอาเงินของเก่าออกมาใช้หมด ก็เลยต้องเลิกวงไป 

          และยิ่งไปกว่านั้น  ก่อนหน้านี้ผมเลี้ยงลูกน้องอยู่กันเป็น 10 ครอบครัว ซึ่งจะอยู่ทั้งที่บ้านผมและก็อยู่ทั้งที่สำนักงาน ที่ศูนย์การค้านครหลวง ถ.จรัญสนิทวงศ์ ให้เขาอยู่เขากินอย่างดี คนอยู่ในบ้านผม ทำงานบ้านให้ผม ผมก็จ่ายเงินเดือนให้ ชีวิตผมให้ผมลำบากคนเดียวดีกว่า เพราะผมอยากจะเป็นเทวดาคนเดียว (หัวเราะ) 

          ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า สิ่งต่างๆ ที่ผมทำดีมา ตายไปผมได้เป็นเทวดาแน่ๆ (หัวเราะ) ผมไม่ตกนรก ผมชอบที่จะทำบุญช่วยคนมาตลอด ทุกวันนี้ขนาดยังไม่ตายก็ยังมีคนมาช่วยจนจะเป็นเทวดาอยู่แล้ว สำหรับผม ลูกน้องต้องได้ หัวหน้าอย่างผมไม่เป็นไร ผมไปที่ไหนก็จะเป็นที่รักของคนอื่น อย่าง ดี๋ ดอกมะดัน จุ๋มจิ๋ม เปิดโรงแรมนอนที่หาดใหญ่ 7 วัน 7 คืน ไม่มีเงินจ่ายค่าโรงแรม ผมก็เอาเงินไปจ่ายให้ ผมไม่เคยเอาคืน ผมช่วยเขาไป สีหนุ่ม อยากมีรถบีเอ็ม ไม่มีเงินดาวน์ ผมก็ให้ตลอด ไม่เคยได้คืน ทุกคนถึงรักผมไง

ตอนนั้นแก้ไขชีวิตอย่างไร 

          ยอดรัก : ผมก็ต้องระเหเร่ร่อนไปเมืองนอก ไปทำงานเป็น กุ๊กร้านอาหารไทยบ้าง ไปร้องเพลงบ้าง ร้องมาได้เท่าไรก็ค่อยๆ จ่ายไปยืดไป หนี้ก็ลดลงเรื่อยๆ เรื่องหนี้ผมไม่หนี เคยคุยกับธนาคาร ธนาคารเขาก็ไม่ฟ้อง เขาบอกว่า ฟ้องไปก็ไม่รู้จะเอาไปขายให้ใคร ช่วงนั้นราคามันตกต่ำ เขาเชื่อในตัวเราว่าสักวันเราก็ต้องฟื้นขึ้นมาใหม่

ยอดรัก สลักใจ


แต่ก็เคยรวยสุด 

          ยอดรัก : ใช่ครับ รวยขนาดไปเที่ยวจ่ายคืนละ 2-3 หมื่น ยังมี เอาเงินไปแจกนักร้องคาเฟ่ มีเด็ดกว่านั้น แจกเพราะว่าหมั่นไส้คนคือครั้งหนึ่งเราไปนั่งกินข้าวในคาเฟ่แห่งหนึ่ง ก็มีเสี่ยคนหนึ่งมาดูถูกเราในทำนองว่าเป็นนักร้องกระจอก ไม่มีเงินแจกนักร้อง ได้ขนาดเขา วันนั้นผมเพิ่งอัดเสียงได้เงินมา 3 แสน ผมก็โมโห มันหยามกันนี่หว่า ผมเรียกเจ้า ของร้านมาเลย และถามเขาว่าเขาปิดตี 2 ใช่ไหม เขาก็บอกว่าใช่ ผมก็บอกว่า วันนี้ยังไม่ต้องปิด ให้เปิดต่อค่าใช้จ่ายต่างๆ เดี๋ยวจ่ายให้ จากนั้นผมก็แจกทิปให้นักร้องนักดนตรี ทุกเพลงคนละพัน จน เงิน 3 แสนหมดในคืนเดียว ทำแบบสะใจไปเลย จนวันนั้น เสี่ยคนนั้นต้องมานั่งไหว้และขอโทษผม ผมก็เลยบอกว่า ทีหลังอย่ามองแค่ลักษณะภายนอก ถึงจะเป็นลูกทุ่ง มาจากบ้านนอกบ้านนา เงินไม่ได้ วัดคนว่าดีหรือไม่ดี

ไม่เสียดายหรือคืนเดียวจ่าย 3 แสน 

          ยอดรัก : เสียดายสิ แต่ด้วยความเมาผสมกับความหมั่นไส้ผมก็ทำได้ แต่หลังจากนั้น ผมก็เลิกเที่ยวคาเฟ่มาจนกระทั่งปัจจุบัน

ตอนดังเคยลืมตัวบ้างหรือเปล่า 

          ยอดรัก : มีครับ เพราะว่าช่วงที่เราดังทำอะไรผิดเป็นถูกไปหมด และผู้ใหญ่ก็จะให้ท้าย ช่วงที่เราดังจะเหลิง เหลิงถึงขนาดชักปืนยิงคนก็เคยมี คืนวันหนึ่ง หลังร้องเพลงเสร็จก็ไปกินข้าวกันพอไปถึงไม่มีที่จอด ก็ไปจอดต่อท้ายรถอีกคัน ผมก็เลยไม่ลง ให้ลูกน้องลงไปซื้อน้ำมาสักขวดแล้วค่อยไปกินร้านอื่น ระหว่างรอลูกน้องในรถ เจ้าของรถคันข้างหน้าเราเขาก็ออกมาจากร้าน เมามาเลย เขาก็เดินผ่านรถผมไป แต่ก็มองเห็นผมและก็พูด กวนๆ ยอดรักเหรอ จากนั้นเขาก็ไปขึ้นรถ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แล้วเขาก็ถอยชนรถผม พอชนเสร็จปุ๊บเขาก็ลงมาอีกแล้วก็บอกว่า เฮ้ยเป็นไงยอดรัก ผมก็เลยบอก พี่ถอยรถชนรถผม เขาก็ตอบว่า แล้วไง ผมก็เลยบอกว่าเดี๋ยวให้ลูกน้องเรียกตำรวจมาคุยดีกว่า พี่คุยกับผมไม่รู้เรื่อง แต่เขาก็ไปขับรถหนีผม...

          ด้วยความโมโหผมเลยชักปืนออกมายิง ผมมีปืน 2 กระบอกยิงไปทั้ง 2 กระบอกเลย เขาก็ขับหนีตายไปเลย แต่ผมไม่หยุดแค่นั้น ผมก็ให้ลูกน้องขับรถตามจี้ จากนั้นก็จอดรถปาดหน้าแล้วก็ยิงจนหมดแม็ก ใจตอนนั้นกะยิงให้ตายเลย แต่เขาไม่เป็นอะไร หายเมาเป็นปลิดทิ้ง ซึ่งหลังเกิดเหตุก็ไปโรงพัก เลยกลายเป็นว่าแทนที่จะได้ค่าซ่อมรถเลยเสียค่าทำขวัญให้เขา 3 หมื่น ดีไม่ติดคุก และเขาไม่เป็นอะไร มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบและก็ความเหลิงที่เป็นนักร้องที่ดังและจะต้องยิ่งใหญ่ ผิดพลาดอะไรไปผู้ใหญ่เขาก็ช่วยเราได้

แล้วมีเหตุการณ์อะไรอีกไหมที่ถือเป็นข้อเตือนสติที่เราไม่น่าทำ 

          ยอดรัก : ก็มีครั้งนี้แหละที่ดูจะรุนแรงสุด ผมเลยเลิกพกปืนเลยไม่เอาเลย สมัยก่อนวงดนตรีลูกทุ่งวงอื่นๆ จะมีมือปืนมาคุ้มกัน เพราะมีนักเลงมาข่มขู่หวังผลประโยชน์ แต่วงผมไม่มีนักเลงมาคุม เพราะหัวหน้าจัดการเอง เราไม่จ้างมือปืน ถ้าเราจ้างมายิงเดี๋ยวมันก็มาซัดทอดถึงเรา แต่ถ้าเราทำเองไม่มีใครรู้ เรายิงเองตายกันเองเรื่องก็จบคนอื่นไม่เดือดร้อน

มองชีวิตตัวเองจากนี้ไปอย่างไรบ้าง 

          ยอดรัก : ผมเริ่มไม่ค่อยจะห่วงอะไรเท่าไหร่แล้ว เพราะถ้าบ้านหลังนี้ขายได้ ผมจะให้ลูกเมียกลับไปอยู่ต่างจังหวัด ถ้าผมตายก่อน เขาจะได้รู้ว่า กรุงเทพฯ เขาอยู่กันไม่ได้ เพราะไม่ได้มีอะไรทำที่จะมีรายได้ วันละเป็นหมื่นๆ และถ้าเขาจะมาทำธุรกิจบันเทิง ผมเชื่อได้เลยว่าลูกเมียผมไม่มีทางทำได้ เพราะเขาไม่ใช่เป็นคนกะล่อน วงการนี้ต้องกะล่อน พูดจาแบบไม่รักษาคำพูด ถึงจะอยู่ได้ อยู่ต่างจังหวัด อย่างน้อยที่นั่นก็จะมีญาติพี่น้อง ค่าใช้จ่ายต่างๆ มันก็ไม่มาก

ทำไมเหมือนกับมองวงการไปในแบบที่ไม่ดี 

          ยอดรัก : ผมว่าทุกคนที่อยู่ในวงการทุกวันนี้ก็รู้สึกเช่นนั้น เพียงแต่เขาจะพูดหรือเปล่าเท่านั้น แต่ผมพูด พูดจากประสบการณ์ที่ผมได้เจอมา ทุกวันนี้จึงจะเห็นว่าผมเองไม่ค่อยจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงการเท่าไหร่ ผมเบื่อ ผมชอบที่จะอยู่อย่างสมถะ แต่ถ้ามีใครเดือดร้อนมาผมช่วยได้ผมก็จะช่วย แต่ถ้าจะให้ผมเข้าไปมั่วสุมอยู่ด้วย ผมไม่เอา

แต่ก็เห็นก่อตั้งสมาคมนักเพลงลูกทุ่ง 

          ยอดรัก : อ๋อ อันนั้น ผมอยากจะช่วยเหลือคนในวงการลูกทุ่ง ผมเป็นผู้ก่อตั้งก็จริง แต่ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งเลย ตอนนี้มีพี่พนม นพพร เป็นนายกสมาคม ผมไม่ได้เป็นคนหวังตำแหน่งอะไรทั้งสิ้น ตั้งเพื่อให้เป็นองค์กรลูกทุ่ง ที่คนลูกทุ่งจะได้มีที่ยึดเหนี่ยวและพึ่งพาอาศัย

เป็นคนที่มีวิธีคิดแปลกนะ 

          ยอดรัก : มันอาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ค่อยจะสมาคมกับคนมากจนเกินไป เราจะอยู่ในกลุ่มเฉพาะคนที่รู้ใจเรา เราชอบอ่านหนังสือที่มันมีประโยชน์ต่อชีวิต ชอบซื้อเทปพระที่เทศน์มาฟัง แล้วเอามาเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวัน ซึ่งเราก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องจริง ทุกอย่างในโลกเป็นทุกข์หมด เพียงแต่เราไปยึดติดมันเอง พอเราไปยึดติดก็ทุกข์ อยากจะได้นั่นอยากจะได้นี่ อยากสบาย อยากจะรวย พอรวยก็อยากจะมีอำนาจ อยากจะเป็นหนึ่ง ซึ่งพอมีความอยากก็ต้องดิ้นรน ซึ่งมันก็ไม่ได้มีความสุข

ยอดรัก สลักใจ


ที่คิดได้แบบนี้เพราะว่าผ่านชีวิตแบบนั้นมาแล้วหรือเปล่า 

          ยอดรัก : ใช่ เรื่องแบบนี้ผมผ่านมาแล้ว เราได้เห็นมาแล้วว่า ตรงนั้นไม่ได้ทำให้เรามีความสุข มีถึงขนาดเจออะไรต่อมิอะไรมากๆ ก็ถึงขนาดหลบไปที่ไหนสักแห่งเงียบๆ คนเดียว เพราะผมรู้สึกวุ่นวายกับชีวิตมาก คือเราเคยรุ่งถึงขนาดไปไหนมาไหนมีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลัง มีแต่คนยกย่องสรรเสริญ ทำอะไรถูกไปหมด แต่วันหนึ่งเราก็เกิดความเบื่อ จนต้องหลบไปบ้านนอก ที่เป็นบ้านนอกจริงๆ กลับไปเห็นวิถีชีวิตแบบเก่าที่เราเคยเป็นมา นึกถึงอดีตที่เราเคยเลี้ยงควาย วิ่งหนองน้ำกลางทุ่งนา จับปลาช่อน จับปลาหมอ ไปวิดบ่อหาปลา ซึ่งเห็นแล้วมันมีความสุข ตอนนี้ก็คิดอยากจะกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้น สูงสุดคืนสู่สามัญ

          สิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ทำให้เรามัวเมา และเกิดการอิจฉา ริษยา เกิดความโลภ ทำให้มานึกถึงคำของในหลวง ที่ตรัสว่า เศรษฐกิจพอเพียง ของท่านนี่สุดยอดจริงๆ ผมกำลังจะกลับไปแบบนั้น ผมว่ามันมีความสุข มันสุขจริงๆ มีบ้านหลังเล็กๆ ชั้นเดียว อยู่กัน 2 คนตายาย ขุดบ่อเลี้ยงปลา ปลูกผักสวนครัว เก็บกินเอง อยากจะอยู่แบบนั้น ไม่ต้องไปดิ้นรนเพื่อหาเรื่องใส่ตัว ทำแบบพออยู่พอกิน ไม่รู้ว่าที่ดิ้นรนกันไปขนาดนั้น รวยกันขนาดนั้น ทำไปเพื่ออะไร ชีวิตจะอยู่ได้ อีกกี่ปี อาจจะบอกว่าหาไว้ให้ลูกให้หลาน เขาจะได้สบาย

          คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณทำแบบนี้คือ การสร้างบาป ยิ่งมีมากลูกหลานก็ยิ่งโง่ เพราะมันถือว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว ก็เลยไม่เรียนหนังสือ ไม่ทำมาหากิน พอเราตายไป 4-5 ปี ลูกหลานมันผลาญหมด เพราะว่าลูกมันไม่มีความรู้ มันได้มาสบายเกินไป ถ้ามันเหนื่อยมามันจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่หามาได้ ลูกคนรวย 100 คนจะมีแค่ 4-5 คน ที่ทำดีให้คนยกย่องเชิดชู ส่วนใหญ่จะมีแต่พูดว่า เอ็งรู้ไหม ข้าลูกใคร ซึ่งคำพูดแบบนี้ เป็นคำพูดที่ไม่ฉลาดเลย ทำให้ชื่อเสียงพ่อตัวเอง หรือวงศ์ตระกูล เสื่อมลงไปเรื่อยๆ คุณรวยขนาดนั้น พ่อใหญ่ขนาดนั้น ทำไมไม่เอาความใหญ่ๆ แบบนั้นมาเสริมบารมีในทางที่ดี มีแต่คนนับหน้าถือตา ไม่ใช่มากร่างให้คนเขาสาปแช่ง แบบนี้ถ้าพ่อยังไม่ตายยังมีเงินกงสีให้ลูกกิน แต่ถ้าตายเมื่อไหร่ นั่นแหละจะหมด เพราะแย่งสมบัติกัน 

          ผมว่าถ้าทุกคนในโลกทำ ได้อย่างในหลวงท่านว่าไว้ จะไม่มีสงครามเกิดขึ้นเลย แล้วคนในโลกจะพูดภาษาเดียวกันได้ด้วยเพราะมันจะรักกัน ไม่เบียดเบียนกัน ผมคิดของผมแบบนี้จริงๆ ใครจะคิดว่าผมกระแดะ พูดเหมือนกับให้ตัวเองดีเด่น ผมก็ไม่สนใจ ใครจะคิดอย่าง ไรก็ช่างเขา เพราะนับจากนี้ไปผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานขนาดไหน สิ่งที่เราทำมาตลอด เราก็คิดว่าเราทำดีเราเห็นของเราเองก็โอเคแล้ว

ต่อไปถ้าอยู่ไม่นานจะทำอย่างไร 

          ยอดรัก : ก็มีการพูดคุยกันในบ้านเรื่องนี้ ซึ่งทั้งแฟนผมและลูกก็อยากจะไปอยู่บ้านนอก เขาก็ยิ่งจะแฮปปี้ เพราะเขาได้ไปเจอพี่เจอน้อง เขาอยู่กรุงเทพฯ อยู่กับผมมา 30 กว่าปี เขาแทบจะไม่ได้ออกไปไหน

ได้ข้อคิดอะไรจากการใช้ชีวิตบ้าง 

          ยอดรัก : ผมว่าผมได้เยอะนะ เพราะเราได้รู้จักการมองคน ว่าเขามาอะไรกับเรา เพราะสารพัดรูปแบบอยู่ในวงการนี้หมด เขาบอกว่า เสือสิงห์กระทิงแรด อยู่ในวงการรัฐบาล จริงๆ แล้วไม่ใช่ อยู่ในวงการบันเทิงเรานี่เอง

อยากจะฝากเตือนรุ่นใหม่ๆ อะไรบ้าง 

          ยอดรัก : คงจะเตือนไม่ได้ เพราะถ้าเขารู้สึกว่าเขาดัง ตอนดังนั้นก็โอเค แต่ถ้าหมดความดังเมื่อไหร่และก็คิดได้อย่างผม ก็น่าจะลองทำดีตั้งแต่ยังดังอยู่ แต่ผมเชื่อว่า ช่วงที่เขาดังๆ เตือนยังไงเขาก็ไม่ฟัง ซึ่งผมเคยผ่านกับตัวเองมาแล้ว

ยอดรัก สลักใจ


ขอเป็นตำนานสู้มะเร็ง 

          ยอดรัก : กับโรคที่เป็นอยู่คิดว่าตัวเองจะสู้ได้นานขนาดไหน ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องได้นานขนาดนั้นขนาดนี้ เอาแค่ว่าผมสู้มันจนถึงที่สุด เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แล้วแต่มัน ยิ่งอยู่นานผมก็สามารถจะทำคุณประโยชน์ได้เยอะขึ้น เราพร้อมทุกเวลาที่จะไป และก็คิดว่าถ้าเราไปวันไหน ทุกคนจะต้องอาลัยอาวรณ์เราแน่ และชื่อ "ยอดรัก สลักใจ" จะไม่มีวันตายจากใจคนไทย ผมเชื่อแบบนั้น 

          ตอนนี้อยากจะตั้งเป็น "มูลนิธิยอดรัก สลักใจ" เพื่อหาเงินไว้สำหรับรักษาผู้ยากไร้ที่เป็นโรคมะเร็ง กำลังทำโครงการอยู่ ซึ่งภาครัฐกำลังเข้ามาช่วย เอาโอกาสที่เราไม่สบายและกำลังเป็นข่าว มาทำประโยชน์ เพื่อให้คนไม่ลืมผมตลอดไป ชื่อจะได้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และยังอยากจะต่อสู้เรื่องลิขสิทธิ์ในการร้องเพลงให้กับนักร้อง เพราะทุกวันนี้ ค่าลิขสิทธิ์ของเพลง จะได้เฉพาะบริษัท คนแต่ง และก็นักดนตรี แต่คนร้องไม่ได้ 

          ผมถามหน่อยว่า ถึงเพลงจะดีขนาดไหน ถ้าเอาไปให้ชาวบ้านทั่วไปร้องเพลงจะถูกถ่ายทอดออกมาดีหรือ แล้วเพลงมันจะดังหรือเปล่า มันก็ไม่ ผมจึงอยากจะให้เขาเห็นว่านักร้องก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ร่วมสร้างผลงานให้ดีได้ ผมต่อสู้มานาน แต่ก็ไม่สำเร็จ ก็อยากจะทำเรื่องนี้ต่อไป ไม่รู้ว่าจะตายก่อนที่มันจะสำเร็จหรือเปล่า

          เปรียบเหมือนกับเนื้อ มีคนเลี้ยง มีคนขาย แต่ขาดคนปรุง มันก็ไม่อร่อย หรือ คนปรุง 4 คน ทำไมทำอร่อยแค่บางคน ความสำคัญมันเท่ากันหมด การร้องเพลงก็ต้องใช้สติปัญญาในการร้อง ไม่ใช่ใครก็จะร้องได้ทุกคน ถ้าง่าย ป่านนี้ก็เป็นนักร้องกันทั้งประเทศไปแล้ว ถ้าทำตรงนี้ได้ ชีวิตจะตายตาหลับมากๆ อันนี้ผมต่อสู้เพื่อคนอื่นอีก เพราะว่ากฎหมายจะย้อนหลังไม่ได้ 

          ผมไม่รู้ว่าศิลปินที่เข้าไปเป็น ส.ส. คิดอย่างผมหรือเปล่า เห็นคิดแต่อะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะอะไรกับวงการเลย

ยอดรัก สลักใจ


 ลัดดา ไพรวัลย์ ภรรยา-คู่ทุกข์คู่ยาก

กับภรรยา (ลัดดา ไพรวัลย์) มาเจอกันอย่างไร 

          ยอดรัก : เจอกันไม่ได้ชอบ ไม่ได้คบกันเท่าไร เขาเป็นสาวรำวง ผมเป็นคนเชียร์รำวง บางวันก็กลับบ้านไปพร้อมกัน แต่คบกันเป็นเพื่อน กลับบ้านไปพร้อมกันถึงตะพานหิน ยังไม่ค่ำ ผมเลยชวนเขาให้ไปเที่ยวบ้าน เขาก็ไป โดยเรานั่งสามล้อไปด้วยกัน แต่ปรากฏว่า สามล้อที่เรานั่งไป เขารู้จักกับญาติของแฟนผม เขาเลยไปบอกญาติของแฟนผมว่า ผมพาแฟนผมเข้าบ้าน คือในสมัยก่อนหญิงกับชายไปไหนด้วยกัน 2 ต่อ 2 เป็นไม่ได้เลย เขาจะถือว่ามีอะไรกันแล้ว ทั้งๆ ที่เราไม่มีอะไรกัน ทางฝ่ายผู้ใหญ่ของแฟนผมเขาโกรธมาก เขาบอกว่าไม่ยอมให้แฟนผมเข้าบ้าน และจะเอาเลือดหัวผมมาล้างตีนเขา ผมเลยเหมือนตกกระไดพลอยโจน ทำอะไรก็ไม่ได้ เขาก็โสด เราก็โสด แม่ผมเลยเป็นฝ่ายไปเจรจากับญาติของแฟน จนสุดท้ายได้เป็นผัวเมียกัน พอแต่งงานเสร็จ ผมให้แฟนผมเลิกเป็นนางรำ เราหาเลี้ยงเขาด้วยการเป็นนักร้องนักดนตรี ตอนนั้นได้วันละ 50 บาท แต่ก็อยู่กันได้ เพราะว่าตอนนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละแค่ 6 สลึงเอง

เห็นบอกว่าเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันมา 

          ยอดรัก : ใช่ครับ เพราะว่าเราลำบากมาด้วยกัน ต่อมาพอมีลูกชาย และเพลงผมดังก็ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเลย เพราะผมต้องไปร้องเพลงที่กรุงเทพฯ แต่เขาก็ยังอยู่ที่ตาคลี จ.นครสวรรค์ ซึ่งผมเองเป็นคนที่ไม่เคยปิดเรื่องลูกเรื่องเมีย ซึ่งสมัยก่อนจะไม่ได้เลยเรื่องแบบนี้ ป๋าเด็ดดวงเขาก็เลยให้ปิดเขากลัวคนรู้ แต่ใครถามผม ผมก็บอกหมด แอบพาลูกพาเมียไปเที่ยวก็ยังมี ที่ไม่อยากจะปิดก็เพราะผมถือว่าผมขายเสียงไม่ใช่ขายหน้าตา จนดังมากขึ้นมีเงินมีทองแล้ว เขาก็เลยยอมให้พาลูกเมียมาอยู่กรุงเทพฯ ผมก็เลยมาซื้อบ้านอยู่กัน ตอนแรกก็ซื้อที่หลักสี่ และจากนั้นก็ย้ายมาซื้อบ้านที่พุทธมณฑลสาย 3 ที่อยู่ทุกวันนี้


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
 
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก, aelyodrak.com
   
   
   
 

 

 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สัมภาษณ์สุดท้าย... ยอดรัก สลักใจ อัปเดตล่าสุด 11 สิงหาคม 2551 เวลา 17:40:32 126,186 อ่าน
TOP