การแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น กีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่สนามเวิร์กเกอร์ ยิมเนเซียม กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเวลา 18.00 น. วันนี้ (23 สิงหาคม) รอบชิงชนะเลิศ รุ่นฟลายเวท 51 กิโลกรัม สมจิตร จงจอหอ นักชกขวัญใจชาวไทย กับ แอนดรีส เฮอร์นันเดซ นักชกคิวบา ทั้งคู่เคยพบกันมา 2 ครั้ง ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ
ยกแรก สมจิตร อายุ 33 ปี 7 เดือน ที่ถนัดขวา อาศัยความสูงที่เหนือกว่า 167 เซนติเมตร ขณะที่คู่ชก ถนัดซ้าย สูงเพียง 162 เซนติเมตร เปลี่ยนสไตล์การชกโดยใช้หมัดซ้ายเป็นหมัดหน้า วัดระยะการชก และออกหมัดหลังคือหมัดขวา ทำแต้มออกนำไปก่อน 2 หมัด เรียกเสียงเชียร์ดังก้องจากแฟนมวยชาวไทย หมดยกทำแต้มนำก่อน 2-0 หมัด
ยกที่ 2 นักชกไทยยังใช้สไตล์การชกแบบเดิม ออกหมัดขาล้วนๆ ทำคะแนนเพิ่มได้อีก 3 หมัด ก่อนจะออกหมัดแย็ปซ้ายทำแต้มที่ 4 หมดยกนำห่าง 6-0 หมัด
นักชกไทยยังใช้สไตล์การชกแบบเดิม ออกหมัดขาล้วนๆ ทำคะแนนเพิ่มได้อีก 3 หมัด ก่อนจะออกหมัดแย็ปซ้ายทำแต้มที่ 4 หมดยกนำห่าง 6-0 หมัด ยกที่ 3 สมจิตร ยิ่งมั่นใจออกหมัดขวาได้อีก 2 หมัด แต่ถูกแก้คืนได้ 1 หมัด หมดยก ทำแต้มนำห่าง 8-1 หมัด ยกสุดท้าย นักชกไทยยิ่งมั่นใจออกลีลา แต่ถูกคู่ชกทำแต้มไล่ได้ 1 หมัด
จบยกสุดท้าย ชนะไปขาดลอย 8-2 หมัด คว้าเหรียญทองเหรียญแรกในการชกมวยโอลิมปิกที่ตัวเองไม่เคยสัมผัส หลังรอคอมานานถึง 12 ปี ฝึกซ้อมอย่างอดทน ด้วยความมีวินัยในการฝึกซ้อม ไม่ดื่มเหล้า-สูบบุหรี่เลย นำเหรียญทองให้กับทัพนักกีฬาไทยได้เป็นเหรียญที่ 2 และ ทำตามสัญญาจะนำเหรียญทองให้กับ น้องกำปั้น บุตรชายได้สำเร็จ ก่อนแขวนนวมหลังการชกครั้งนี้
ขณะที่ มนัส บุญจำนงค์ ขึ้นชกรอบชิงชนะเลิศ คู่ที่ 3 เวลา 19.11 น. พบกับ เฟลิกซ์ ดิอาซ นักชกวัย 25 ปี จากโดมินิกัน ที่พลิกล็อคโค่น อเลกซี วาสแตง จอมเก๋าจากฝรั่งเศส หากเทียบผลงานที่ผ่านมานักชกไทยศักดิ์ศรีเหนือกว่าคู่แข่งจากโดมินิกันชนิดเทียบกันไม่ติด โดยมนัสประสบความสำเร็จในเส้นทางมวยสากลสมัครเล่นทุกรายการ ไล่ตั้งแต่เหรียญทองโอลิมปิก, เหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์, เหรียญทองซีเกมส์, เหรียญทองแดงเวิลด์แชมเปี้ยนชิพ ปี 2003 ขณะที่ เฟลิกซ์ ดิอาซ ผลงานดีสุดที่เคยทำได้คือ คว้าเหรียญทองแดงแพนอเมริกันเกมส์ รุ่นไลท์เวท ในปี 2003 ส่วนการชกโอลิมปิกเมื่อ 4 ปี ก่อนที่กรุงเอเธนส์ ก็ตกรอบแรก
ยกแรก มนัส โหมออกหมัด แต่ติดการ์ดของนักชกโดมิกันกัน จึงหันมาต่อยลำตัวและได้คะแนนออกนำไปก่อน 1-0 หมัด แต่ถูกคู่ชกต่อยหมัดสวนทำคะแนนตามคืนได้ทันควัน 1-1 หมัด ท้ายยก นักชกโดมินิกันทำคะแนนได้เพิ่มอีก 1 หมัด จบยก ฟีลิกซ์ ดิแอซ ทำคะแนนออกนำนักชกไทย 2-1 หมัด
ยกที่ 2 มนัสต่อยตัดลำตัวคู่ชกได้เพิ่มอีก 1 หมัด จบยกทำคะแนนตามตีเสมอได้ 2-2 หมัด
ยกที่ 3 โอกาสน่าจะเป็นของนักชกไทย ต่อยตัดลำตัวทำคะแนนออกนำไปก่อน 1 หมัด คะแนนเพิ่มเป็น 3-2 หมัด แต่สถานการณ์พลิกผันเมื่อนักชกโดมินิกันเข้าคลุกวงใน รัวหมัดทำคะแนนได้ 8 หมัดรวด และยกนี้มนัสถูกกรรมการนับ 8 จบยก นักชกคู่แข่งทำคะแนนนำห่าง 10-3 หมัด
ยกสุดท้าย มนัสหมดแรงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะทำเพิ่มได้อีก 1 หมัด แต่ก็ถูกต่อยคืนอีก 2 หมัด จบยกพ่ายไปขาดลอย 4-12 หมัด สร้างประวัติศาสตร์มวยสากลสมัครเล่นโอลิมปิก ได้เพียงคว้า 1 เหรียญทอง เอเธนส์เกมส์ และ 1 เหรียญเงินปักกิ่งเกมส์เท่านั้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ