x close

สู้โว้ย!! มะเร็งไม่ร้ายอย่างที่คิด

เผ่าทอง ทองเจือ


          มะเร็งอาจเป็นเพชฌฆาตร้ายอันดับหนึ่ง ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกอย่างไม่มีเยื่อใย แต่ใช่ว่าคนเป็นมะเร็งจะต้องนอนรอความตายสถานเดียว ยังมีคนอีกไม่น้อยที่โชคดีรอดจากการเป็นเหยื่อมัจจุราชได้อย่างอัศจรรย์ พวกเขามีคาถาอะไรดีในการพิชิตมะเร็ง และมะเร็งทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ทีมข่าวสตรีไทยรัฐตามค้นหาคำตอบ เพื่อจุดประกายความหวังให้ผู้ป่วยมะเร็งได้มีกำลังใจต่อสู้ กับโรคร้ายต่อไป

          "อ.เผ่าทอง ทองเจือ" อดีตคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นที่ 4 เมื่อ 14 ปีก่อน และจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 3 เดือน วินาทีแรกที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง โลกทั้งโลกแทบดับลงตรงหน้า เขานอนซมหมดกำลังใจอยู่หลายวัน จนกระทั่งนึกถึงคำพูดของแม่ ทำให้มีสติฮึดสู้อีกครั้ง 

          "เมื่อ 14 ปีก่อน ผมคลำเจอก้อนเนื้อขนาดเท่าเม็ดถั่วลิสง ที่ราวนมด้านขวา ตอนนั้นไปทำวิจัยด้านโบราณคดีที่ประเทศอังกฤษ 3 เดือน เป็นเรื่องบังเอิญมาก เพราะปกติชอบอาบน้ำจากตุ่ม ไม่ใช้ฝักบัวเลย แต่พอไปอยู่อังกฤษต้องอาบฝักบัว ทำให้คลำพบความผิดปกติ ตอนนั้นคิดว่าไม่เป็นอะไร เพราะกดยังไงก็ไม่เจ็บ เพียงแต่สังเกตว่าขนาดก้อนเนื้อโตขึ้นเรื่อยๆ จนใหญ่เท่าไข่เป็ด!! พอกลับเมืองไทยต้องขึ้นเหนือไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เลยแวะไปหาเพื่อนที่เป็นหมอประจำโรงพยาบาลสวนดอก เล่าอาการให้ฟัง และวินิจฉัยตัวเองว่าคงไม่เป็นอะไร เพราะกดยังไงก็ไม่เจ็บ!! ปรากฏว่าเพื่อนหน้าเสียเลย รีบเรียกหมอเฉพาะทางมาตรวจ ถ้าถึงขั้นกดแรงๆ ยังไม่เจ็บ แสดงว่าอาการหนัก!! ตอนนั้นคุณหมอ (พญ. บุญสม ชัยมงคล) สั่งให้เข้าห้องผ่าตัดทันที เพื่อตัดก้อนเนื้อออกมาตรวจ เข้าไปตั้งแต่บ่ายโมง จนถึง 6 โมงเย็น 

          ...คุณหมอ บอกว่า คุณต้องทำใจนะ เพราะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ขั้นที่ 4 คงมีชีวิตอยู่ได้แค่ 3 เดือน!! ตอนนั้นปล่อยโฮเลย เหมือนถูกพิพากษา ไม่มีเรี่ยวแรงขยับตัว คิดแต่ว่ายังไม่อยากตาย และไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เราอายุแค่ 37 กำลังมีหน้าที่การงานรุ่งโรจน์ จะมาตายตอนนี้ไม่ได้ แล้วแม่จะอยู่ยังไง มีลูกแค่คนเดียว แม่เคยพูดตลอดว่า ความทุกข์ที่สุดของแม่ คือเห็นลูกตายก่อนแม่ นึกถึงคำพูดนี้แล้วทำให้ฮึดสู้ คิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อแม่ เราจะตายก่อนแม่ไม่ได้!! 

          ...ถ้าไม่อยากตายก็ต้องมารักษากัน คุณหมอกระตุ้นให้สู้!! แล้วบอกให้ลองรักษาด้วยการให้คีโมดับเบิลโดส โดยหมอจะอัดเข้าไปที่เส้นเลือดโดยตรง ถ้ารอดก็รอดไปเลย เราอยากรอดเพื่อแม่ เลยตอบตกลง แต่ยังไม่กล้าบอกแม่ว่าเป็นมะเร็ง เพราะยังทำใจไม่ได้!! ปรากฏว่าพอหมอฉีดยาดับเบิลโดสร่างกายเราทนไม่ไหว หัวใจหยุดเต้นและไม่รู้สึกตัว ปั๊มหัวใจยังไงก็ไม่ขึ้น จนทางโรงพยาบาลเข็นร่างไปไว้ที่ห้องซีซียู มีคนไข้นอนตายอยู่แล้ว 1 คน ตอนนั้นสลบไป 7 วัน จนวันสุดท้ายคุณหมอลองใช้ไฟฟ้าช็อต ทำให้ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ แต่ยังลืมตาไม่ขึ้น จำได้แม่นเลยว่ามีนักศึกษาแพทย์เข้ามาดู และได้ยินเสียงพูดว่าศพนี้ซวยมากเลย เป็นทั้งโรคหัวใจและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผมตะโกนเถียงสุดแรงว่า ไม่ซวยๆๆ 

          ...หลังรอดจากการให้คีโมดับเบิลโดสมาได้ หมอก็เริ่มให้คีโมปกติ ให้ไปทั้งหมด 40 เข็ม ต้องนอนโรงพยาบาลอยู่ 40 อาทิตย์ ทรมานมาก ทั้งอาเจียน, ไข้ขึ้น เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกันทุก 3 ชั่วโมง หมอบอกว่าให้คีโมแล้วผมจะร่วง พอเข็มแรกผ่านไปก็ร่วงจริงๆ เรียกว่าไม่มีขนเหลือสักเส้นบนร่างกาย ช่วงนั้นเริ่มมีข่าวลือว่า "เผ่าทอง" เป็นเอดส์!! แต่คุณแม่ก็ให้กำลังใจ บอกว่าขอให้ลูกหายเร็วๆ นะ ตั้งใจรักษาตามหมอ แม่อยู่กรุงเทพฯ คนเดียวได้ ไม่ต้องห่วง ระหว่างที่นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล วันไหนที่ทนไม่ไหว รู้สึกท้อแท้ ก็จะโทรศัพท์หาแม่ แต่จะพยายามทำเสียงเข้มแข็ง บอกแม่ว่าลูกสบายดี"

          แม้การรักษาในช่วงปีแรกจะได้ผลเกินคาด แต่มะเร็งร้ายกลับลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นที่รักแร้, ต้นคอทั้งสองข้าง, ตับ, ขาหนีบ และต่อมลูกหมาก ทำให้ "อ.เผ่าทอง" ต้องทนทุกข์ทรมานกับการให้คีโมอย่างต่อเนื่องถึง 6 ปีเต็ม พร้อมกับการผ่าตัด 9 ครั้ง!! กว่าจะมายืนยิ้มได้อย่างทุกวันนี้ นอกจากกำลังใจที่ดีแล้ว การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ก็เป็นกุญแจสำคัญในการพิชิตมะเร็ง

          "กูตายมึงก็ตาย!! จะตะโกนขู่มะเร็งทุกเช้า เพื่อปลุกใจตัวเอง และคิดตลอดว่าเราต้องอยู่เพื่อแม่!! ถึงแม้ท่านจะเสียชีวิตไปได้หลายปีแล้ว ตั้งแต่เป็นมะเร็งได้ปรับเปลี่ยนชีวิตการกินอยู่ทุกอย่าง เพราะค้นพบว่าการกินมีผลต่อโรคภัยไข้เจ็บมาก เวลาเป็นอะไรต้องแก้ด้วยอาหาร อย่าไปพึ่งยา คุณหมอแนะนำให้ทานอาหารย่อยง่ายๆ ไม่เผ็ดไม่มัน เลิกทานไก่และหมู เพราะมีฮอร์โมนกระตุ้นมะเร็ง ควรทานเนื้อวัวเสริมโปรตีน แต่เราไม่ทานตั้งแต่เด็ก เลยเปลี่ยนมาทานปลาย่างปลาลวกแทน และเน้นทานผักผลไม้เยอะๆ หลังจากเป็นมะเร็งยังค้นพบสัจธรรมหลายอย่าง รู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน เริ่มมีความพอเพียงมากขึ้น ไม่โลภมากอยากมีอยากได้แบบสมัยก่อน ทุกวันนี้คิดแต่ว่า เราโชคดีได้เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม"

คุณหญิงพ.ญ.พรทิพย์


          อีกหนึ่งคนดังที่เป็นตัวอย่างของคนสู้มะเร็ง ยังรวมถึง "คุณหญิงพญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์" ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งถูกคุกคามด้วยมะเร็งถึง 2 ครั้ง เริ่มจากมะเร็งที่ไทรอยด์ ลามไปถึงลำไส้ใหญ่ 

          "หมอเจอมะเร็งที่แรกบริเวณไทรอยด์ ในปี 2542 ตอนอายุ 41 ย่าง 42 ปี จู่ๆ ยืนแล้วเหมือนโลกหมุนติ้ว เลยกังวลว่าตัวเองจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า เพราะคุณแม่ก็เป็นมะเร็งที่ไทรอยด์และปอด เลยไปตรวจเช็กแต่ไม่พบอะไร จนกระทั่งขอตรวจที่ต่อมน้ำเหลือง แล้วใช้เครื่องมือตรวจเผื่อไปที่ไทรอยด์ เจอติ่งเนื้อขนาด 0.6 เซ็นติเมตร ที่ส่อเค้าเป็นเนื้อร้าย แต่ยังเป็นอาการเริ่มต้น เลยผ่าตัดออก ไม่ถึงขั้นต้องให้คีโม

          ...ช่วงปลายปีเดียวกันก็เกิดอาการปวดท้องอย่างแรง มีอาการหน่วงๆ ปวดท้องแต่ไม่ถ่าย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เราเป็นหมออยู่แล้ว เลยตรวจตัวเองซะเลย โดยคลำทางทวารหนักจนเจอติ่งเนื้อ ซึ่งถ้าเป็นเนื้อลำไส้จะเป็นพื้นเรียบ แต่ตรวจคลำแล้วมีลักษณะคล้ายพรม จึงไปหาหมอตรวจอย่างละเอียด ทีแรกคุณหมอตรวจไม่เห็น แต่ก็ยืนยันกับคุณหมอว่าเป็นมะเร็ง!! จึงตรวจซ้ำจนพบว่า ตอนแรกที่ไม่เจอเพราะมันลอยสูง บริเวณลำไส้ที่เจอก้อนเนื้อมีขนาดถึง 7 เซ็นติเมตร ต้องตัดลำไส้ทิ้งไปฟุตกว่า แต่มะเร็งลำไส้ของเราต่างจากคนอื่น เพราะเราเป็นนักกินผักตัวยง และเป็นคนดูแลตัวเองมาก เลยสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ ผ่าตัดมะเร็งทั้ง 2 ที่ห่างกันแค่ปีเดียว" 

          ถึงแม้จะเป็นหมอมีความรู้มาก แต่เมื่อป่วยเป็นมะเร็ง ก็ต้องอาศัยธรรมะเข้าช่วยเพื่อต่อสู้กับโรคร้าย และเตือนสติตัวเอง

          "ตอนนั้นใจเสียเหมือนกัน แต่พยายามใช้ธรรมะเข้าข่ม บอกตัวเองว่ามะเร็งอยู่กับตัวเรา ต้องมองไปข้างหน้า พยายามคิดมุมบวก บอกตัวเองว่าเราต้องใช้ชีวิตที่เหลือสร้างความดีให้มากขึ้น ใครทำร้ายมาก็พยายามไม่พยาบาท โชคดีที่เป็นหมอผ่าศพ ได้เห็นได้ปลงมนุษย์มาเยอะ หมอเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพราะยังไม่หมดกรรม จะหลุดจากวงจรเวียนว่ายตายเกิดได้ ก็ต้องรักษาความดี หลีกเลี่ยงการทำชั่ว เรื่องมะเร็งอยู่ที่ใจอย่างเดียว หมอยึดถือคุณแม่เป็นตัวอย่าง ตอนนั้นท่านเป็นมะเร็งปอด แล้วลุกลามไปที่สมองด้วย ซึ่งทรมานสุดๆ แต่ท่านก็ดูแลตัวเองดีมาก หมออยากเป็นคนไข้แบบคุณแม่ ท่านไม่ยอมให้ใครเดือดร้อนเพราะท่าน

          ...การดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้มะเร็งกลับมาเยือนอีก ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างมะเร็งไทรอยด์ ผ่าตัดแล้วหายเลย เพราะหมอเป็นในช่วงอายุยังไม่มาก แต่มะเร็งลำไส้ทิ้งไม่ได้เลย หลังจากผ่าตัดแล้วเว้นไป 4 ปี หมอกลับไปตรวจซ้ำก็พบว่ามะเร็งกลับมาอีก ทำให้ต้องผ่าตัดครั้งที่ 2 คนที่เคยเป็นมะเร็งต้องคอยตรวจร่างกายประจำทุกปี ขณะเดียวกัน ก็ควรระวังเรื่องอาหารการกินให้มาก หมอใช้ชีวิตแบบชีวจิต หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ใหญ่ ทั้งเนื้อวัว, หมู และไก่ เน้นทานปลา หันมาออกกำลังกาย และตัดปัจจัยเสี่ยงทุกอย่าง โดยเฉพาะการสูบบุหรี่และดื่มเหล้า ส่วนเรื่องจิตใจ ต้องพยายามไม่เครียด เพราะถ้าเครียดมะเร็งจะกลับมาง่าย"


นงค์พงา


          สำหรับ "นงค์พงา เวียงสมุทร์" อดีตแอร์โฮสเตส สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก ต้องต่อสู้กับมะเร็งในเม็ดเลือด หรือลูคีเมีย ระยะสุดท้าย เป็นเวลา 3 ปี แม้จะต้องขายทรัพย์สมบัติแทบหมดตัว แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้สักวินาทีเดียว!!

          "รู้ว่าเป็นมะเร็งตอนปี 2540 คือมีอาการอาเจียน นอนไม่หลับ ทานข้าวไม่ได้ มีเลือดออกทางจมูก ออกๆหยุดๆ น้ำหนักลดฮวบ เลยไปหาหมอหลายโรงพยาบาลมาก กว่าจะเจอว่าเป็นมะเร็งกินเวลาเป็นปี!! ไม่เคยคิดว่าจะเป็นมะเร็ง เพราะตรวจร่างกายทุก 6 เดือน และครอบครัวไม่มีประวัติเป็นมะเร็งเลย จนกระทั่งได้ดูรายการทีวีที่พูดถึงโรคลูคีเมีย อาการเหมือนเราเลย จึงขอให้คุณหมอตรวจดูความหนาแน่นของเลือด ปรากฏว่ามีแต่เม็ดเลือดขาว แทบไม่มีเม็ดเลือดแดงเลย พอคุณหมอบอกว่าคุณเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดระยะสุดท้าย มีเวลาอยู่ไม่ถึง 1 ปี ก็ช็อกเลย!! ตอนนั้นกำลังมีปัญหาครอบครัวด้วย เหลือลูกอยู่คนเดียว คุณพ่อก็ป่วย ปัญหารุมเร้าทำให้เราสติแตก จู่ๆ ก็หมดสติไปเลย จำใครไม่ได้ แม้แต่ลูกก็จำไม่ได้ ต้องนอนโรงพยาบาลนาน 3 เดือน สติถึงฟื้น จากนั้นก็เริ่มให้คีโมรักษามะเร็งอยู่เป็นปี

          ...ตอนหลังอาการยังไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจเดินทางไปผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกไขสันหลังที่อเมริกา โดยพักรักษาตัวอยู่นาน 3 เดือน เมื่อกลับมาก็มีปัญหาอีก เพราะยีนไม่เข้ากัน เลยต้องกลับมารักษาด้วยคีโม ซึ่งทรมานมาก โชคดีที่ได้สเต็มเซลล์จากหลานแท้ๆ มาใช้ผ่าตัดปรับเปลี่ยนไขกระดูกสันหลังอีกครั้งที่เมืองไทย ครั้งนี้ได้ผลดีทำให้หายจากโรคร้าย หลังจากเข้าๆออกๆ โรงพยาบาลกว่า 3 ปี และต้องหมดเงินไปถึง 10 ล้านบาท"

          แม้จะหายจากมะเร็งในเม็ดเลือด แต่ "นงค์พงา" ก็ยังเคร่งครัดกับการดูแลสุขภาพร่างกายมาก ไม่แตกต่างจากเมื่อครั้งถูกคุมคามด้วยมะเร็ง เพราะไม่อยากกลับไปเผชิญกับฝันร้ายอีกแล้ว

          "ทุกวันนี้ต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง อาศัยใจสู้ และดูแลตัวเองดีๆ อย่างเรื่องอาหารจะทานผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษจริงๆ ไม่ซื้อของสดที่ตลาด ถ้าไม่มีจริงๆ ต้องกินผักในตลาดก็จะแช่น้ำเกลือ หรือด่างทับทิม แล้วนำไปลวกก่อนปรุง ส่วนเนื้อหมู, ไก่, ปลาน้ำจืด ตัดทิ้งหมด จะไม่กินเลย เพราะมีสารเร่งโต แต่จะกินเนื้อวัวแทน เพื่อให้โปรตีนกับร่างกาย เนื้อวัวที่กินก็ต้องคัดแบบโคขุน โดยนำมาปรุงง่ายๆ เอาไปย่างในกระทะพอให้สุก และจิ้มน้ำปลามะนาว อาหารหลักของตัวเองคือมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันและเย็นจะเน้นผักผลไม้ หรือนมถั่วเหลืองเท่านั้น การออกกำลังกายก็ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็ว ทุกวันนี้จะตื่นตี 4 ครึ่ง ทำบุญใส่บาตร แล้วออกไปวิ่ง จนสายๆ ค่อยกลับบ้านเพื่อทำกิจกรรมอย่างอื่น ส่วนเรื่องทางใจต้องไม่เครียด ถ้าเราสู้ซะอย่างก็ต้องผ่านพ้นไปได้ เคยคิดในใจพูดกับโรคมะเร็งว่าอยากอยู่กับฉันใช่ไหม อยากอยู่ก็อยู่ไป เราแบ่งๆ กันอยู่ แต่อย่าเบียดเบียนกัน แบ่งที่ให้ฉันบ้างแล้วกัน สุดท้ายก็อยู่ได้มาถึงปัจจุบัน"

          สู้โว้ย!! ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกคน และร่วมกันรณรงค์ ช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ผ่านมูลนิธิจุฬาภรณ์ฯ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ด้วยการอุดหนุน "พิงค์ ริบบิ้น" โบสีชมพู เพียงชิ้นละ 10 บาท ที่แผนก Lingerie Salon เดอะมอลล์ทุกสาขา, ดิ เอ็มโพเรียม และพารากอน
 
 
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สู้โว้ย!! มะเร็งไม่ร้ายอย่างที่คิด อัปเดตล่าสุด 31 สิงหาคม 2551 เวลา 18:12:40 56,242 อ่าน
TOP