x close

ภูตแม่น้ำโขง



 




บทประพันธ์ : สิทธา เชตวัน

บทโทรทัศน์ : ประไพรศรี ศรีนาทม


          "ภูตแม่น้ำโขง" เป็นละครเก่าที่นำกลับมาเล่าใหม่อีกครั้ง สำหรับ ภูตแม่น้ำโขง ละครพื้นบ้านที่แฝงไปด้วยความเชื่อถือศรัทธาของผู้คน 2 ฝั่งลุ่มแม่น้ำโขง ที่มีสืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จากร่องรอยของนิทานพื้นบ้านและวรรณคดีโบราณ สอดแทรกด้วยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ผสมกลมกลืนกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน โดยนำเอาเรื่องราวความรัก ความผูกพันในอดีตชาติ และสิ่งลี้ลับในลุ่มน้ำโขง ก่อเกิดเป็นความเข้มข้นให้ผู้ชมติดตาม 

          สำหรับ ภูตแม่น้ำโขง เวอร์ชั่นนี้ค่ายดาราวีดิโอได้นำกลับมาปัดฝุ่นใหม่ โดยได้นักแสดงนำมากความสามารถอย่าง จุ๋ย-วรัทยา นิลคูหา เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ เอมี่-มรกต  กิตติสาระ บิ๊ก-ภุชิสสะ และนก-อุษณีย์ วัฒฐานะ มาร่วมแสดง ซึ่งถือว่าเป็นการโคจรมาเจอกันครั้งแรกของ "จุ๋ย" และ "เวียร์" โดยจะออกอากาศทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.25 น. ทางช่อง 7 วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคมนี้ เสนอเป็นตอนแรก


รายชื่อนักแสดง
  

           ศุกลวัฒน์  คณารศ        แสดงเป็น  นายแพทย์อัคนี 

           วรัทยา  นิลคูหา           แสดงเป็น  บัวผัน 

           มรกต  กิตติสาระ          แสดงเป็น  เจ้าแม่ทอหูก 

           ภุชิสสะ  ธนพัฒน์         แสดงเป็น  เจ้าวรวงศ์ 

           อุษณีย์  วัฒฐานะ         แสดงเป็น  เจ้านางโคมคำ 

            อภิชาติ  วงศ์กาวี         แสดงเป็น  นายแพทย์อุ่นเงิน 

           ปัทมาภรณ์ รัตนภักดี     แสดงเป็น  ทองมี 

           กฤษฎี  พวงประยงค์      แสดงเป็น  ทิดเคน 

           ภูธฤทธิ์  พรหมบันดาล   แสดงเป็น  พระยาหนองหารหลวง


เรื่องย่อ


          บัวผัน (วรัทยา นิลคูหา) สาวสวยวัย 18 เดินแทงปลาไหลไปตามริมน้ำด้วยความเพลิดเพลิน ตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนสาย จนกระทั่งไปพบกับไข่ประหลาดฟองโตสีขาวนวล กลิ้งอยู่บนพืนทรายริมแม่น้ำโขง จึงเก็บไข่ฟองนั้นกลับบ้าน โดยไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้อยากกินไข่ประหลาดนั้น บัวผันต้มไข่ประหลาดกลิ่นมันหอมแรงตลบไปทั้งบ้าน และยิ่งหอมมากขึ้นเมื่อสุก เป็นกลิ่นหอมที่บอกไม่ถูกว่ากลิ่นอะไร เมื่อ ทองมี (ปัทมาภรณ์ รัตนภักดี) เพื่อนรักแวะมาหาที่บ้านจึงชวนกินไข่ประหลาดด้วยกัน แต่ทองมีไม่กินเพราะกินข้าวมาแล้ว และเพราะรู้สึกไม่อยากลองของแปลก ทั้งๆ ที่กลิ่นไข่หอมยั่วความอยากเป็นอย่างมาก บัวผันจึงกินคนเดียวจนหมดฟอง และเกิดอาการท้องร้อนวูบวาบ บัวผันดื่มน้ำระงับความอยากจนหมดขันก็ไม่หายท้องร้อนวูบวาบและกระหายน้ำรุนแรง ไปดื่มน้ำอีกจนน้ำหมดตุ่มก็ยังไม่พอ บัวผันบอกทองมีว่าต้องไปดื่มน้ำต่อในลำน้ำโขงจึงจะหาย แล้วหัวเราะราวสติวิปลาส โดดลงเรือนวิ่งไปอย่างรวดเร็ว  ทองมีตกใจจึงตะโกนร้องให้คนช่วย ทิดเคน (กฤษฏี พวงประยงค์) หนุ่มทรงพลังประจำหมู่บ้าน วิ่งตามทันบัวผันและกระโดดล็อกตัวไว้แน่น  แต่ทุกคนตะลึงเมื่อเห็นว่าบัวผันมีพลังมหาศาลสะบัดหลุดจากทิดเคนได้อย่างง่ายดาย แถมยังทุ่มทิดเคนคว่ำไม่เป็นท่า ทั้งๆ ที่บัวผันเอวบางร่างน้อยอ้อนแอ้น ทุกคนจึงลงความเห็นว่าผีเข้าบัวผันแน่แล้ว 



          ทิดเคนพยายามฉุดบัวผันไว้ให้ได้ บัวผันตาขวางเหมือนผี และวิ่งเร็วราวลมพัดไปยังแม่น้ำโขง จากนั้นบัวผันก้มใช้ปากดูดน้ำจากลำน้ำโขงโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด  ทองมีได้สติเกรงเพื่อนท้องแตกตาย จึงไปกระชากตัวบัวผันขึ้นจากน้ำ บัวผันหันขวับมามองตาเขียวน่ากลัว พร้อมตวาดอย่างกราดเกรี้ยวว่าเธอไม่ใช่บัวผัน เฒ่าเชียงหล้า (แรม วรธรรม) จึงรีบขอขมาผู้สิงร่างบัวผัน แต่ผู้สิงร่างไม่ยอมแล้วก็ลุยน้ำออกไปกลางลำน้ำโขง ซึ่งพื้นใต้ท้องน้ำเมื่อพ้นฝั่งไปเล็กน้อยจะหักมุมลึกลงทันที ความลึกถึง 40 วา และแม้จะเป็นหน้าแล้งน้ำก็ยังเชี่ยวมากและเย็นมากกว่าปกติ  ลงไปก็ตายสถานเดียว เพราะชาวบ้านเชื่อว่าเงือกน้ำพรายน้ำลากไปกิน และเชื่อว่าบริเวณหาดนี้เป็นห้วงน้ำอาถรรพณ์ (ตามเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาว่า ราว 300 ปีก่อน ริมหาดนี้เป็นที่ตั้งวัดพระเจ้าองค์คำ ต่อมาวัดทั้งวัดถูกน้ำเซาะจมหายไปใต้แม่น้ำ ไปอยู่ในวังน้ำวนมฤตยู พระเจ้าองค์คำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นพระประธานจมอยู่ใต้น้ำด้วย ชาวบ้านเชื่อว่าทั้งภูตผีทั้งเทวาอารักษ์ต่างพิทักษ์รักษาพระพุทธรูปพระเจ้าองค์คำไว้)  ทิดเคนกระโจนตามฉุดไว้ วอนขอชีวิตบัวผันไว้แล้วตัวเองจะบวช 1 พรรษาให้ผู้สิงร่างบัวผัน แต่ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งบัวผันไว้ได้ บัวผันกระโจนไปกลางน้ำพาเอาทิดเคนซึ่งยังฉุดอยู่ลงใต้น้ำไปด้วย ชาวบ้านทุกคนภาวนาอ้อนวอนขอพระเจ้าองค์คำและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยชีวิตบัวผันและทิดเคนรอดกลับมา 

          ทันใดนั้นก็เกิดก้อนสีดำขนาดใหญ่ลอยมา ฝนกระหน่ำฉับพลัน ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางลำน้ำโขง และเปลี่ยนเป็นฝูงผีเสื้อนับล้านตัว อีกทั้งยังมีฝูงคางคกนับล้านตัวว่ายน้ำอยู่ในลำน้ำโขง เสมือนจะเกิดอาเพศ แล้วจู่ๆ ทองมีกรีดร้องด้วยความยินดี  เพราะท่ามกลางม่านฝนหนาบัวผันโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำในท่ายืนครึ่งตัว ทั้งๆ ที่น้ำตรงนั้นลึกถึง 40 วา และปราศจากโขดหินให้เหยียบยืน ทุกคนดีใจโห่ร้อง ทองมีร้องเรียกบัวผันกลับเข้าฝั่ง แต่บัวผันยังเลื่อนลอยเหมือนไม่ได้ยิน แล้วบัวผันค่อยๆ จมลงหายลับไป จากนั้นฝนก็ค่อยๆ หยุดตก ท้องฟ้าใสสว่างดังเดิม และทิดเคนโผล่พรวดขึ้นสู่ผิวน้ำว่ายเข้าฝั่งด้วยความกลัวสุดขีด ทุกคนบนฝั่งต่างอัศจรรย์ใจว่าทิดเคนรอดมาได้อย่างไร ทิดเคนจึงเล่าให้ชาวบ้านฟังว่าเมื่อลงใต้น้ำบัวผันถูกน้ำพัดพลัดกันกับเขา ตัวเขาตกลงไปที่เมืองใต้น้ำซึ่งไม่มีน้ำเลย เหมือนเป็นเมืองบนบก บ้านเมืองสะอาดเป็นระเบียบ ผู้คนสวยงามกว่าชาวบ้านในหมู่บ้านมาก ชาวบ้านบางกลุ่มไม่เชื่อ แต่เฒ่าเชียงหล้าหนาวยะเยือกแกรู้เรื่องเมืองใต้น้ำดี ทิดเคนว่าเขารอดมาได้เพราะคนในเมืองใต้น้ำบอกว่าเขายังไม่หมดเวรกรรมบนโลกจึงให้กลับมา 

          7 วันผ่านไป ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ ตำนานกล่าวว่าเป็นวันที่ปรโลกปลดปล่อยวิญญาณให้กลับมาเยี่ยมเยือนญาติในโลกมนุษย์ นายแพทย์อัคนี (ศุกลวัฒน์ คณารศ) หนุ่มรูปงามผู้เชี่ยวชาญและศึกษาวิชาจิตเวชศาสตร์ กำลังนั่งขัดสมาธิบนเรือกลางลำน้ำโขง กับ สมัย อ่อนสา (ชูศรี เชิญยิ้ม) เพื่อพิสูจน์สิ่งลี้ลับ เพราะหมออัคนีได้รับทุนจากสถาบันจิตเวชแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ทำวิจัยเรื่องจิตเวชวัฒนธรรม เกี่ยวข้องกับโรคทางจิตเวชในถิ่นชนบท รวมทั้งเรื่องผีเข้าเจ้าสิง  แต่อยู่ๆ สมัยก็หมดสติ ลุงจันดี (นึกคิด บุญทอง) คนพายเรือจึงตะโกนเรียกหมออัคนี แต่ก็นิ่งเฉยเหมือนไม่ได้ยิน แล้วลุงจันดีก็ร้องโวยวายออกมาด้วยความตกใจว่าเห็นผี และพยายามรีบพายเรือหนี แต่กลับเห็นเรือลำหนึ่งลอยมาใกล้ๆ ซึ่งในเรือมีหญิงสาวสวยชื่อบัวผัน ชวนให้ลุงจันดีลงเรือของเธอ เมื่อแกถูกตัวบัวผันก็รู้สึกถึงความเยือกเย็นแล้วร่างบัวผันก็กลายเป็นโครงกระดูก ซึ่งเป็นภาพนิมิตรของ เจ้าแม่ทอหูก (มรกต กิตติสาระ) ลุงจันดีจึงรีบกราบขอขมาลาโทษที่ได้ล่วงเกินและขอให้เจ้าแม่ไว้ชีวิต ส่วนบัวผันก็จมน้ำได้ 9 วัน แต่ยังไม่พบศพ นางบุญเรือน (ขวัญฤดี กลมกล่อม) ผู้เป็นแม่และชาวบ้านและจึงให้คนทรงตรวจดู ซึ่งหมออัคนีก็มาร่วมพิธีด้วย คนทรงบอกว่าอีก 3 วันบัวผันจะกลับมา 





          นายแพทย์อุ่นเงิน (อภิชาติ วงศ์กาวี) เพื่อนรักของหมออัคนีแต่งงานกับ เจ้านางโคมคำ (อุษณีย์ วัฒฐานะ) ซึ่งเดิมเป็นคู่หมั้นของหมออัคนีมาขอพบหมออัคนี แต่หมออัคนีไม่อยากพบเพราะไม่อยากเจอเจ้านางโคมคำ ซึ่งหมออุ่นเงินไม่ได้พามาด้วยแต่กลับพา เจ้าวรวงศ์ (ภุชิสสะ ธนพัฒน์) พี่ชายของเจ้านางมาแทน หมออุ่นเงินบอกกับหมออัคนีว่าพระธาตุขุนหลวงซึ่งเป็นพระธาตุประจำตระกูลของหมออัคนีพังแล้ว หมออัคนีจึงให้บูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุขึ้นใหม่ ซึ่งภายในพระธาตุมีของมีค่ามากโดยเฉพาะบุษบกทองคำประดับเพชร และผอบซ้อนกัน 5 ชั้นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และหมออัคนีตัดสินใจเดินทางไปดู แต่ระหว่างการเดินทางถูกลอบวางยาพิษจากหมออุ่นเงินและเจ้าวรวงศ์ แต่หมออัคนีไหวตัวทันอมรางจืดยาแก้พิษเอาไว้ ทั้งสองคนไม่รู้จึงนำร่างหมออัคนีใส่กระสอบถ่วงน้ำ หมออัคนีใช้มีดพับตัดกระสอบและว่ายฝ่าสายน้ำขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่น้ำก็พัดจมลงอีก คราวนี้หมออัคนีไปพบกับ พญาจันหัวจระเข้ บริวารของเจ้าแม่ทอหูกจึงถูกนำตัวไปขังไว้ในคุก      

          พญาหนองหารหลวง (ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล) ล่วงรู้เข้า จึงสั่งให้อสุรกายนฤจักษ์กับนางมลินมุขีเข้าไปชิงตัวหมออัคนีมา ทั้ง 2 แปลงร่างเป็นพายุลมดำหอบหมออัคนีไปให้พญาหนองหารหลวง จากนั้นพญาหนองหารหลวงสั่งต้มหมออัคนี หมออัคนีไม่เห็นทางรอดจึงกำหนดปณิธาณขอให้ดวงจิตสะอาดบริสุทธิ์ พอจบคำอธิฐานลมหนาวแห่งความตายก็พัดมา ก็เกิดแสงสว่างสีทองพันรอบตัวแล้วดึงลอยไปในอากาศ มารู้สึกตัวอีกครั้งว่าตัวเองกำลังว่ายน้ำอยู่ในความมืด แต่ชั่วแวบเดียวก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นสาวงามแต่งกายชุดสาวพื้นเมืองเดินเข้ามาหา และชวนให้ไปพักผ่อนที่บ้านแต่หมออัคนีปฏิเสธ ซึ่งเธอบอกว่าชื่อบัวผัน ทำให้หมออัคนีนึกถึงหญิงสาวที่จมแม่น้ำโขงหายไป หลังจากนั้นหมออัคนีก็มุ่งหน้าเดินเข้าไปในเมือง ระหว่างทางก็เจอกับผีโครงกระดูกและสุนัขผีดำ แต่ก็รอดมาได้ ในที่สุดก็มาถึงที่พักนางบุญเรือนยังโศกเศร้าคิดถึงบัวผัน และยิ่งเศร้าเมื่อ หลวงพ่อจูม (พงษ์ประยูร ราชอาภัย) อดีตสามีไปออกธุดงค์โดยไม่บอก แต่แล้วในที่สุดบัวผันก็กลับมา แต่ก็มีนางปิศาจตามมาส่งและมาหลอกหลอนเข้าสิงชาวบ้าน หมออัคนีรู้เรื่องบัวผันกลับมา จึงไปหาเพราะมั่นใจว่าบัวผันคือคนที่ช่วยชีวิตจากการจมน้ำ ซึ่งบัวผันจำอัคนีไม่ได้ แต่ไม่ทันที่จะถามต่อลุงเสาร์ก็วิ่งมาถามหาบอกว่าบัวผันเป็นคนฆ่าลุงงึมตาย และจะนำตัวไปเผาไฟ ซึ่งหมออัคนีพยายามที่จะช่วย โดยการขอตรวจศพลุงงึมก่อน ทันใดนั้นก็มีแมวดำกระโดดข้ามศพของลุงงึมจนฟื้นขึ้นมา 

          กำนันเล้ง (กลศ อัทธเสรี) กับ เวียนแล (ปริษา ธนาวิวัฒน์) ตั้งใจจะมางานศพลุงงึม แต่มาเจอหมออัคนีจึงตกใจมากนึกว่าโดนผีหลอก เพราะเจ้าวรวงศ์บอกว่าหมออัคนีตายแล้ว กำนันเล้งข้องใจจึงเรียกสารวัตรกองตามาปรึกษา แล้วรีบแจ้งข่าวกับเจ้าวรวงศ์และหมออุ่นเงิน ทั้ง 2 ตกใจกลัวความผิด กำนันเล้งจึงรับปากจะไม่บอกว่าหมออุ่นเงินกับเจ้าวรวงศ์ระเบิดพระธาตุขุนหลวง เพราะก็กลัวความผิดที่ตนเองร่วมมือด้วย

          ทางด้านหมออัคนีต้องการพิสูจน์ว่าบัวผันเป็นตัวจริงหรือเปล่าเลยตามไปในหมู่บ้านลับแลและก็ได้พูดคุยกัน มารู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตนเองอยู่ในป่าช้า จึงเดินทางกลับไปที่โรงแรมและได้รับจดหมายจากเจ้านางโคมคำฝากไว้เพื่อขอพบ หมออัคนีไปเจอเจ้านางโคมคำเพื่อที่จะสอบถามรายละเอียดต่างๆ หลังจากนั้น หนานหล้า (ทองขาว ภัทรโชคชัย) เอาจดหมายที่มีข้อควมสั้นๆ จากสัปเหร่อหนูที่มีข่าวด่วนให้มาพบที่ป่าช้า หมออัคนีจึงสงสัยว่าเจ้าแม่ทอหูกมีปัญหาอะไรกับเขา แต่เจ้าแม่ทอหูกไปจับตัวเจ้านางโคมคำมาเป็นตัวประกัน และสั่งให้หนานหล้าไปบอกหมออัคนีให้มาพบไม่งั้นเจ้านางโคมคำตาย หนานหล้าพา ไหมสี (สิชา ศรีทองสุข) ไปหาหมออัคนี เพื่อบอกความจริงทั้งหมด แล้วก็ขอร้องให้บัวผันช่วยพาไปหาเจ้าแม่ทอหูก ซึ่งเจ้าแม่ทอหูกสิงร่างบัวผันอยู่แล้วสบโอกาสจึงพาลงไปเมืองบาดาล แล้วมาพบกับพ่อปู่ฤาษี พ่อปู่ให้หมออัคนีถอดแหวนปะการังออก แต่หมออัคนีไม่ถอดเพราะพระภิกษุให้สวมไว้ที่นิ้วกลางข้างซ้ายตลอดชีวิต เจ้าแม่ทอหูกในร่างบัวผันก็ช่วยเสริมแกมบังคับ หมออัคนีจึงยอมถอดและโยนทิ้งลงไปในสระน้ำไฟจึงลุกขึ้น พ่อปู่โกรธมากที่มาทำลายบ่อเพลิงกรดศักดิ์สิทธิ์ พ่อปู่จึงสั่งให้เจ้าแม่ทอหูกโยนหมออัคนีลงสระไฟกรด

          หมออัคนีรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่บัวผัน จึงดิ้นสุดแรงทำให้เจ้าแม่ทอหูกพลัดตกลงไปในสระไฟกรดแทน ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่ตายก็คือบัวผันนั่นเอง แต่สุดท้ายบัวผันก็ฟื้นขึ้นมาใหม่เพราะหลวงพ่อจูมมาช่วยไว้ หลวงพ่อจูมปรากฏกายทิพย์ออกมาเพื่อช่วยทั้งหมดเอาไว้ได้สำเร็จ สุดท้ายเจ้าแม่ทอหูกก็ต้องไปเวรกรรมที่สร้างไว้กับผู้อื่น ต่อมาหมออัคนีพาบัวผันกลับมาที่เมืองมนุษย์ ชาวบ้านรู้ความจริงทั้งหมดก็มั่นใจแล้วว่าเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ผ่านมาไม่ใช่ฝีมือบัวผัน หมออัคนีกับบัวผันได้ครองรักกันสมกับที่รอคอยกันมานาน ขณะเดียวกันหมออุ่นเงินกับเจ้านางโคมคำก็ปรับความเข้าใจและครองรักกันเช่นกัน ส่วนเจ้าวรวงศ์ตัดสินใจออกบวชในที่สุด


 

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
warattaya.com

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ภูตแม่น้ำโขง อัปเดตล่าสุด 15 กันยายน 2552 เวลา 18:54:59 210,543 อ่าน
TOP