เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
เหตุการณ์ที่นายชูวิทย์ฟันศอกและทำร้ายร่างกายผู้ประกาศข่าววิศาล ดิลกวณิช เมื่อบ่ายวานนี้ (2 ตุลาคม) กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ซะแล้ว!!! โดยเฉพาะในวงการไซเบอร์ที่กลายเป็นกระทู้ฮอตฮิตภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากทราบเหตุการณ์
เสียงส่วนหนึ่งมองว่า นายวิศาลใช้ถ้อยคำรุนแรง และตั้งคำถามไม่เป็นกลาง ทำให้นายชูวิทย์เกิดความไม่พอใจ แต่อีกกลุ่มหนึ่งแสดงความเห็นว่า นายชูวิทย์มีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบคำถามนั้น แต่ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายร่างกายผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาสาเข้ามาบริหารปกครองเมืองหลวง ต้องควบคุมอารมณ์ได้มากกว่าคนธรรมดา
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ที่คนข่าวกลายมาเป็นข่าวเองไม่ค่อยได้เกิดขึ้นบ่อยนัก และครั้งนี้ก็ทำให้ชื่อของ "วิศาล ดิลกวณิช" เป็นที่สนใจของคนทั่วไปอีกครั้ง วันนี้กระปุกจะพาไปรู้จักเขากันค่ะ
ถ้าเป็นคนที่ติดตามข่าวสาร คงจะคุ้นภาพวิศาล ดิลกวณิชกับการนั่งวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจ ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขาไปแล้ว แม้ว่าเขาจะเคยทำงานข่าวมาเกือบทุกประเภท
"วิศาล" เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2513 เรียนจบมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตรียน ก่อนจะสอบเข้าได้ที่คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิชาเอกวิทยุโทรทัศน์ เพราะเป็นคนสนใจข่าวสารมาตั้งแต่สมัยเรียน ตอนปี 4 จึงเลือกฝึกงานที่ฝ่ายผลิตรายการของบริษัท ไอบีซี เคเบิลทีวี ก่อนจบการศึกษาในปี 2536 และด้วยความสนใจงานข่าวเศรษฐกิจและไอที เขาจึงตัดสินใจศึกษาต่อปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์และ MBA ควบคู่ไปกับการทำงาน ปัจจุบันสมรสแล้วกับ สินีนาฏ คุปตภากร
"วิศาล" เริ่มต้นทำงานที่แรกในตำแหน่งผู้สื่อข่าววิทยุ ที่ศูนย์ข่าวแปซิฟิก รอ.1-1008 ก่อนจะหันมาทำงานข่าวโทรทัศน์ ที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวีในปี พ.ศ.2539 ซึ่งถือเป็นพนักงานรุ่นแรกๆ หลังจากก่อตั้งสถานี วิศาลรับหน้าที่ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ และข่าวไอทีตามความถนัดของเขา โดยรับผิดชอบรายการโฟกัส เศรษฐกิจ, เปิดโลกธุรกิจ, สายตรงเศรษฐกิจ ฯลฯ นอกจากนั้นยังอ่านข่าวภาคเที่ยง ข่าวภาคค่ำ และข่าวภาคดึกหลายรายการ
ต่อมาเขารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์รายการด้านไอที "อี-วาไรตี้" โดยตั้งใจจะนำเสนอเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ง่ายต่อความเข้าใจของประชาชน แต่หลังจากออกอากาศไปได้เพียง 4 ตอน รายการต้องถูกเด้งพร้อมๆ กับการถูกเลิกจ้างในเดือนพฤศจิกายน 2543 หลังจากที่บริษัทชินคอร์ปเข้ามาถือหุ้น และสั่งปรับลดพนักงาน
"วิศาล" กลายเป็นแกนนำของ 21 อดีตผู้สื่อข่าวไอทีวี ซึ่งถูกเรียกว่า "กบฏไอทีวี" ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านการเข้ามาถือหุ้นไอทีวีของเครือชินคอร์ป เพราะเห็นว่าเป็นการทำลายเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 40 และ 41 โดยการเอาคลื่นความถี่สาธารณะไปเป็นเจ้าของ ทั้งที่คลื่นความถี่ต้องเป็นสมบัติเพื่อประโยชน์สาธารณะ
อย่างไรก็ตาม หลังการประท้วงดังกล่าวทำให้วิศาลถูกเลิกจ้าง เขาพร้อมด้วยเพื่อนผู้สื่อข่าวทั้ง 21 คนต้องเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน ซึ่งผลสรุปจบลงด้วยคำสั่งของศาลที่ให้รับพนักงานกลับเข้าทำงานพร้อมทั้งจ่ายเงินเดือนชดเชยให้ในระหว่างที่ถูกเลิกจ้าง
หลังจากนั้นวิศาลก็ทำงานเป็นนักเล่าข่าวอิสระ โดยเปิดบริษัทรับงานเป็นของตัวเอง และจัดรายการวิเคราะห์ข่าวทางช่อง 3 ทั้งรายการเช้าวันใหม่ ช่วงตีสี่, รายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ และรายการบ่ายนี้มีคำตอบทางช่อง 9 รวมทั้งงานในแวดวงวิชาการที่ช่วงหนึ่งเคยเป็นอาจารย์พิเศษสอนทำข่าว และบรรณาธิกรข่าวให้กับภาควารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ด้วยภาพลักษณ์ และน้ำเสียงที่พูดจาฉะฉาน สามารถเล่าเรื่องเศรษฐกิจที่ยากๆ ให้ชาวบ้านเข้าใจได้ง่าย ทำให้ชื่อ "วิศาล ดิลกวณิช" เป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ก็มีผู้ชมอีกกลุ่มที่ตำหนิการพูดจาตรงไปตรงมาของนายวิศาล ก่อนจะมาเกิดเหตุการณ์ที่เป็นประเด็นร้อน หลังการสัมภาษณ์สดนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ เนื่องจากนายชูวิทย์ไม่พอใจการตั้งคำถามของนายวิศาล และเห็นว่า นายวิศาลมีอคติต่อตน จึงตรงเข้าชักศอกใส่และกระทืบนายวิศาลจนบาดเจ็บ ก่อนนายวิศาลจะเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจ และนายชูวิทย์ออกมาแถลงข่าวขอโทษในเวลาต่อมา
