x close

รอน - ภัทรภณ โตอุ่น หนุ่มน้อย AF 5 กับเส้นความฝัน

รอน-ภัทรภณ โตอุ่น
รอน-ภัทรภณ โตอุ่น




          "บนทางเดินแห่งความฝันนี้ อาจไม่มีพรมแดงปูทาง อุปสรรคขวากหนามมากมายเหลือเกิน... "

          ทุกคนย่อมมีความฝัน บางคนก็สามารถทำตามความฝันได้ บางคนก็ไม่สามารถทำตามฝันได้ เพราะเส้นทางที่จะไปสู่ความฝันนั้นมันต้องมีอุปสรรคมากมายที่ต้องฝ่าฟันเพื่อไปให้ถึง แต่เดี๋ยวนี้อาจจะมีทางลัดเพื่อไปถึงฝันให้เร็วขึ้น แต่ก็ต้องต่อสู่ดิ้นรนไม่แพ้กัน

          หนุ่มน้อยหน้ามนคนหน้ามันที่ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาอย่าง"รอน-ภัทรภณ โตอุ่น" หนุ่มน้อยวัย 18 ปี ก็คือคนหนึ่งที่ใช้ทางลัดเพื่อไปสู่ความฝัน จากการเป็นหนึ่งใน 16 นักล่าฝันแห่งรายการเรียลิตี้อันดับต้นๆ ของเมืองไทย

          รอนเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศจากเวทีการประกวด ทรู อคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่นที่ 5 ปฏิบัติการนักล่าฝัน ซึ่งเป็นรายการเรียลิตี้โชว์รายการแรกในประเทศไทยที่ได้ลิขสิทธิ์จากประเทศเม็กซิโก

          ด้วยความที่เป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริง มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และยังมีรอยยิ้มเป็นอาวุธ ไม่ยากนักที่คนทั้งประเทศจะหลงรักเขา และคอยส่งแรงเชียร์แรงใจไปให้เขา แม้ความสามารถในการร้องจะไม่ได้ดีเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ได้แย่นัก แต่รอนมีความพยายาม ทำให้คนทั้งประเทศยังคอยเป็นกำลังใจให้เขาเสมอ

รอน-ภัทรภณ โตอุ่น
รอน-ภัทรภณ โตอุ่น



ก่อนเข้าสู่เส้นทางฝัน

          โดยพื้นเพแล้วทั้งพ่อและแม่ของรอนเป็นคนต่างจังหวัด คุณแม่เป็นคนจังหวัดเชียงใหม่ คุณพ่อเป็นจังหวัดพิจิตร แล้วเข้ามาพบรักกันที่กรุงเทพฯ และตั้งรากฐานอยู่ที่กรุงเทพฯ แถวห้วยขวาง รอนมีน้องชายหนึ่งคน อายุห่างกันสามปี ครอบครัวของเขาอยู่กันอย่างอบอุ่น และแล้วโชคชะตาก็ทำให้ครอบครัวนี้ต้องแยกกันอยู่ด้วยพิษเศรษฐกิจฟองสบู่แตก แต่ความอบอุ่นของครอบครัวยังมีเหมือนเดิม

          พ่อต้องตกงานจากธนาคาร ก็เลยมาขับแท็กซี่ จากที่แม่เป็นแม่บ้าน ก็ต้องมาช่วยญาติดูแลร้านอาหารที่พัทยา จังหวัดชลบุรี บ้านที่จำนองไว้ก็หลุดจำนอง รอนจึงต้องไปเช่าห้องพักอยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียน ซึ่งตอนนั้นรอนกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนสตรีวิทยา 2 จาก เหตุการณ์นี้ทำให้เขาต้องปรับตัวในการใช้ชีวิต จากที่เคยมีก็ไม่มี ทำให้ชีวิตในตอนนั้นลำบากมาก แล้วตอนนั้นก็ยังเด็ก อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ นานเข้า เขาก็เริ่มชิน ไม่รู้สึกว่าลำบาก

          เด็กบางคนไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ก็อาจจะมีนอกลู่นอกทางบ้าง เพราะไม่มีใครคอยเตือน คอยสั่งสอน ความอบอุ่นที่พ่อแม่มีให้ก็ไม่ได้รับ แต่สำหรับรอนนั้นเขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองขาดความอบอุ่น เขาคิดว่าพ่อแม่ต้องลำบากเพื่ออนาคตของเขามากกว่า

          "ผมไม่คิดว่าตัวเองขาดความอบอุ่นเลยครับ รอนจะคุยกับพ่อแม่บ่อย รอนได้รับความอบอุ่นดี ทุกอาทิตย์แม่ก็กลับมา ก็ได้เจอกัน เจอกันบ่อยครับ โทรหาแม่ตลอด โทรหาเกือบทุกวัน รอนจะสนิทกับพ่อแม่เท่าๆ กัน สามารถคุยได้ทุกเรื่องเหมือนกัน

          พ่อจะสอนอยู่เสมอ เขาก็จะบอกว่า ให้เราคิดเป็น ให้คิดเอง ทำอะไรเอง คิดให้ถูก เขารู้ว่าเราคิดเป็น เขาจะไว้ใจเราเสมอ เพราะฉะนั้นจะเป็นสิ่งที่เตือนใจรอนเสมอว่าเวลาจะทำอะไร รอนต้องนึกถึงคุณพ่อคุณแม่ว่าเขาไว้ใจเราขนาดไหน

          เขาก็ห่วงเราหลายเรื่อง ด้วยความที่รอนกำลังโต เขาห่วงว่าจะทันคนอื่นรึเปล่า เพราะรอนอยู่คนเดียว แม่คอยเตือนคอยห่วงตลอดเวลา ห่วงเรื่องไม่ทันคนอื่น เพราะกำลังโต กลัวเป็นเด็ก รอนก็เชื่อฟังแม่นะครับ"

          แน่นอนว่าการใช้ชีวิตคนเดียวนั้นต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง ทั้งซักผ้า รีดผ้า ถูบ้าน ฯลฯ ใครจะรู้ว่าหนุ่มน้อยที่มีความสนุกสนาน ร่าเริง จะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง การอยู่คนเดียวเขาก็สามารถมีความสุขอยู่กับตัวเองได้ บางครั้งรอนก็พูดคนเดียว เพื่อเป็นการเตือนสติตัวเอง

          "รอนเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ใจเย็น อะไรก็ได้ วันๆ ตื่นนอนมา รอนมีหนังสือเล่มหนึ่งก็อยู่ได้ทั้งวันแล้ว ชอบอ่านหนังสือ ชอบฟังเพลง ชอบอยู่ในบ้านตัวเอง ทำความสะอาดบ้านให้สะอาดๆ ทำความสะอาดเสร็จเหนื่อยๆ บ้านสะอาดแล้ว สบาย ก็จะนั่งดูทีวี นั่งมองพื้นที่ถูแล้วสบายใจ


รอน-ภัทรภณ โตอุ่น



          รอนเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมากครับ บางทีก็พูดคนเดียวบ้างเวลาอยู่คนเดียว ทำนู่นทำนี่คนเดียวเสมอ ก็เพลินดี เหมือนเป็นการเตือนสติตัวเองมากกว่า สมมติตอนเย็นเรานึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามวันที่ผ่านมา นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะพูดขึ้นมาคนเดียว ใช่มั้ย ไม่ใช่ รอนก็พูดขึ้นมาคนเดียว เตือนตัวเอง ตอนอยู่ในบ้านเอเอฟ เพื่อนๆ ในบ้านก็งงๆ ว่า อะไรเหรอ อยู่ดีๆ ก็พูดคนเดียว บางทีก็พูดขึ้นมา ไม่ใช่มั้ง ไม่รู้อะ อันนี้ไม่เอา ก็พูดคนเดียวไปเรื่อยๆ

          รอนอ่านหนังสือได้ทุกแนว เพราะแต่ละแนวก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ที่อ่านส่วนใหญ่ก็เป็นแนวแฟนตาซีเพ้อฝัน ชอบแนวที่ให้ข้อคิด ให้กำลังใจตัวเองอย่างนี้ก็เยอะ อาจจะเป็นเพราะนิสัยตัวเองด้วยมั้งจึงเลือกอ่านหนังสือแนวนี้ หนังสือเล่มแรกที่เป็นแรงบันดาลใจให้รอนอ่านหนังสือคือ แฮรี่ พอตเตอร์ ตั้งแต่ ป.3 ป.4 มั้งรอนอ่านครั้งแรก เล่มแรกครับ อาจารย์บรรณารักษ์ที่โรงเรียนมานั่งอ่านให้ฟัง อาจารย์อ่านจบบทหนึ่งแล้วบอกว่าถ้าอยากรู้ก็ไปอ่านต่อเอาเอง เราก็เริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็อ่านมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้"

          ช่วงชีวิตคนเรามันต้องมีช่วงลำบาก ช่วงที่เกิดปัญหาบ้าง สำหรับรอนแล้วปัญหาต่างๆ ที่ประเดประดังเข้ามานั้นเขาต้องแก้ปัญหาเองทุกอย่าง ไหนจะต้องเรื่องดูแลตัวเอง เรื่องเรียน แต่รอนก็สามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้ด้วยประสบการณ์ที่เขาเคยประสบมา

          "พ่อกับแม่จะปล่อยให้เราคิดเองเสมอ รอนคงไม่ออกนอกลู่นอกทาง รอนอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ ม.2 ถ้ารอนจะออกนอกลู่นอกทางคงออกไปตั้งนานแล้ว รอนผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมาระดับหนึ่งแล้ว อยู่คนเดียวต้องแก้ปัญหาเองทุกอย่าง รอนไม่ค่อยมีปัญหาอะไร มีก็แก้ไขได้หมด มันไม่ค่อยมีอะไร

          ช่วงที่หนักสุดคงเป็น ม.6 ครับ เพราะว่าต้องทำงานบ้านด้วย ทำกิจกรรมที่โรงเรียนด้วย เป็นประธานสี เต้นด้วย ทำพิธีกร ทำองค์กรนักเรียน มีเรื่องแอดมิดชันอีก คือมันจะหนักมาก ช่วง ม.6 เราต้องทำงานดูแลตัวเอง เวลากลับมาบ้านไหนจะต้องซักผ้า เรื่องเสื้อผ้า มันก็จะเหนื่อยหน่อย แต่มันก็ไม่หนักเท่าไร ต้องจัดการเองทุกอย่าง ต้องทำทุกอย่าง ต้องทำตารางเวลา เงินคุณพ่อคุณแม่ส่งมาให้ ก็ไม่ได้ทำงานพิเศษอะไร ให้ไปทำคงทำไม่ไหว ดูแลตัวเองด้วย ขอเรียนอย่างเดียวดีกว่า"


รอน-ภัทรภณ โตอุ่น
รอน-ภัทรภณ โตอุ่น



บนเส้นทางฝัน

          แม้จะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รอนสมัครเข้ามาประกวดเอเอฟ หรือ ทรู อคาเดมี แฟนเทเชีย แต่เขาก็ผ่านบททดสอบที่ดาหน้าเข้ามาได้อย่างฉลุย แม้จะไม่เคยเรียนร้องเพลง เรียนเต้น มาก่อน


          "รอนไม่เคยเรียนร้องเพลง เรียนเต้น มาก่อน ปีนี้เพิ่งเข้ามาออดิชันเป็นครั้งแรก เพิ่งอายุ 18 เมื่อต้นปี เดือนกุมภาพันธ์ ก็มาออดิชันเลย ก็มีโอกาสได้เข้ามา ก่อนหน้านั้นก็มีโอกาสได้ดูรายการบ้าง ตอนนั้นอายุไม่ถึง พอถึงปุ๊บก็ลองมาดู เฮ้ย...ถึงแล้วนี่ ปีนี้มีสมัครเอเอฟ 5 ก็ลองมาดู สนุกดีนะ ก็ลองมาเลย โชคดีเยอะมากครับ โชคดีที่มีโอกาส อาศัยความตั้งใจมากกว่า เข้ามาคือไม่ได้เป็นคนมีพื้นฐานหรือเก่งอะไรมากมาย เขาให้ทำอะไรก็จะทำเต็มที่ พยายามเข้าใจคอนเซปต์ พยายามทำความเข้าใจให้มากที่สุด แล้วแสดงออกมาในความเป็นตัวเราครับ จุดเด่นที่กรรมการเลือกคงเป็นรอยยิ้ม มีคนบอกว่าเข้ามาเพราะมีรอยยิ้มช่วย ดีใจมากที่ได้เข้ามา

          ตอนสมัครกรรมการให้คำแนะนำเยอะมาก รอนโดนเยอะมาก คือตอนที่ไปเนี่ยเพิ่งกลับมาจากไป รด. ที่เขาชนไก่ หน้าก็ดำๆ เป็นสิว หน้ามัน เสื้อก็เลอะ กินของฟรีอยู่หน้างาน เขาก็คอมเมนต์ว่าต้องรู้จักแต่งตัว รู้จักนู่นรู้จักนี่นะ คือตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราจะติ รอนก็รับฟังมา ก็อ๋อ ครับ ครับ ครับ ก็กลับ เขาก็แนะนำให้ไปเรียนร้องเพลงเพิ่ม ถ้ามีโอกาสก็ให้ไปเรียนร้องเพลงนะ เราก็อ๋อ...ครับ อะไรอย่างนี้ ก่อนมาสมัครก็ไม่ได้หาที่เรียนร้องเพลง ไม่คิดว่าเราจะติดไม่ คิดว่าจะติดน่ะครับ ความรู้สึกแรกงง งงก่อน พองงเสร็จแล้ว ความรู้สึกกลับมาก็ดีใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เข้ามาอยู่รายการเรียลิตี้อันดับต้นๆ ของประเทศไทย ยิ่งได้มาถึงทุกวันนี้ได้ที่ 2 เนี่ย โอ๊ย...ไม่รู้ได้มาได้ยังไง ดีใจมาก"

          จากสัปดาห์แรกที่เข้ามาอยู่ในบ้านอคาเดมี รอนสะสมประสบการณ์ทั้งการร้อง การเต้น จนมีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัด อย่างที่รอนเคยบอกว่า เขาไม่มีพื้นฐานเลย แต่พยายามทำอะไรให้เต็มที่ พยายามเข้าใจคอนเซปต์ แล้วแสดงออกมาให้เป็นตัวของเขาเอง ความพยายามของรอน
ส่งผลให้เขากลายเป็นนักเต้นเท้าไฟประจำบ้านเอเอฟ จนได้รับฉายา สเตปเทพ และ King of Dance มาครอง

          "ที่จริงรอนไม่ได้เต้นเก่งอะไรมากมายเลย แต่โชคดีที่รอนมีทุนเรื่องการเต้นมากกว่าคนอื่นที่ได้เข้าไปอยู่ในบ้าน ครูคงเห็นว่าเต้นได้ เลยส่งเพลงเต้นมาให้ ทำให้มีโอกาสได้เต้น โดยเฉพาะช่วงสี่สัปดาห์สุดท้ายได้เพลงเต้นหมดเลย รับโจทย์ทุกอาทิตย์ก็จะหนักหน่อย ถ้าเทียบกันระหว่าง 12 คน รอนอาจจะเป็นที่หนึ่ง แต่ถ้าออกมานอกบ้านรอนก็คงเป็นที่สองพันกว่าสามพันกว่าของประเทศก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณทุกคนที่มอบฉายานี้ให้ครับ ดูมันยิ่งใหญ่มาก ซึ่งโดยส่วนตัวรอนคิดว่ารอนยังต้องฝึกฝนอีกเยอะครับ คิดว่าถ้าจัดการเรื่องเวลาลงตัว ทั้งเรื่องการทำงาน การเรียนเรียบร้อยแล้ว รอนจะไปเรียนเพิ่มในส่วนของทั้งร้อง เต้น และการแสดง เพราะสามเดือนกับการอยู่ในบ้าน คิดว่ายังน้อยไปครับ รอนอยากจะเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ"

          ผ่านการอยู่ในบ้านเอเอฟมา 12 สัปดาห์ แดนซ์เทรนเนอร์สาวอวบ ครูเป็ด วาเนสซ่า เลยตัดเกรดคลาสตัวเองให้หนุ่มรอนรับ A เพราะขึ้นโชว์ครั้งไหนก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง อยู่ในบ้านเพื่อนก็เข้ามาใช้บริการออกแบบท่าเต้นอยู่บ่อยครั้ง

          รอนสามารถอยู่ในบ้านเอเอฟและขึ้นโชว์ความสามารถที่มีอยู่จนถึงรอบ 5 คนสุดท้ายที่ตัวเขาเองก็รู้สึกงง เพราะไม่คาดฝันมาก่อน ว่าจะได้เข้ามาถึงรอบ 5 คนสุดท้าย แถมยังรั้งตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับหนึ่งอีกด้วย

         "เกินความคาดหมายมากครับ เห็นได้จากคอนเสิร์ตครั้งสุดท้าย คือสัปดาห์ที่ 11 กับสัปดาห์ที่ 12 จะเห็นได้ชัดเลย สัปดาห์ที่ 11 ที่ รอนออกไปยืนกับกรีน รอนคิดว่ายังไงก็ต้องมีผู้หญิงสองคน รอนต้องหลุดแน่ๆ ไม่น่าจะเหลือผู้หญิงในบ้านแค่คนเดียว แล้วรอนก็บอกกรีนว่าบ๊าย บาย แต่พอเขาประกาศว่าได้เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย รอนถึงกับร้องไห้ เพราะมันคือสุดทางฝันที่ได้อยู่มาจนถึง 12 สัปดาห์

          จนถึงสัปดาห์สุดท้ายก็ไม่หวังอะไรอีกแล้ว ตอนที่อาต้อยเรียกพี่ปั๊ม รอนก็นึก โอ๊ย! ต้องโชว์ฟินาเล่เหรอ ตอนแรกก็คิด อุ๊ย...แย่แล้ว ปิดท้ายเหรอ กลัวจะทำได้ไม่ดี แต่เราทำเต็มที่แล้ว พอทำโชว์ออกมาก็พอใจมาก สุดยอดมาก เพราะตอนแรกกังวลโดยเฉพาะเรื่องท่าเต้นเพิ่งต่อท่าได้แค่สองวัน จะทำได้หรือเปล่า แต่พอถึงวันเสาร์ก็ตัดความเครียดทิ้งทั้งหมด คิดแต่ว่าทำทุกอย่างให้เต็มที่ที่สุด ซึ่งที่ทำมารอนก็ภูมิใจกับการแสดงมากแล้วครับ เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นเวทีอิมแพ็คฯ แถมยังได้ปิดฟินาเล่อีก ยิ่งดีใจมากๆ ครับ

          ตอนที่ประกาศผลว่าพี่กี๋ได้ที่ 5 ผมก็คิดว่าต่อไปที่ 4 ต้องเป็นเราแน่นอน ที่ 4 เป็นพี่กู๊ด รอนหันหน้าร้องไห้แล้ว รอนติด 3 คนสุดท้าย ก็เป็นอะไรที่ดีใจมากแล้ว จนถึง 2 คน สุดท้าย เราก็โอ๊ย...เกินความคาดหมายเยอะ ด้วยความที่พี่ๆ มีความสามารถกันหมด ก็เหลือแต่พี่นัทกับรอน ตอนนั้นในใจก็แอบลุ้นว่าเราจะได้ที่ 1 หรือเปล่า พอประกาศว่าพี่นัทได้ที่ 1 แล้วที่ 2 เป็นของรอน ก็ดีใจ มีความสุขมากครับ

          ส่วนเรื่องล็อกรางวัลนั้น เรื่องอันดับมันขึ้นอยู่กับผลโหวตครับ รอนก็เฉยๆ อยู่แล้ว รอนได้อันดับตอนนี้ก็ขอบคุณมากที่ให้โอกาสรอน และโหวตให้รอนถึงที่ 2 ล็อกไม่ล็อกยังไง แต่รอนว่าไม่ล็อกอยู่แล้วครับ หรือว่ามันจะเป็นยังไงเราก็พอใจ ณ ตรงนี้ที่สุดแล้ว ขอบคุณมากจริงๆ"


 

 

 

 

รอน-ภัทรภณ โตอุ่น


ความฝันในอนาคต

          หลังจากออกมาจากบ้านเอเอฟ รอนก็กลับออกมาเจอโลกแห่งความจริง ต้องเจอกับข่าวคราวต่างๆ ที่ไม่เคยได้รับข่าวสารมาก่อน หลังจากที่เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ ตอนนี้เขากลายเป็นคนของประชาชน มีแฟนคลับมากมายที่คอยติดตามเขา อนาคตที่เขาวางแผนไว้จะเป็นอย่างไร ทั้งเรื่องการเรียน การทำงาน

          "ตอนนี้เรียนรอนจบ ม.6 แล้วครับ ตอนแอดมิดชันรอนติดที่จักรพงษ์ภูวนารถ คณะบริหารเศรษฐศาสตร์ แต่ว่ารอนไปรายงานตัวไม่ทันเพราะเข้าบ้านเอเอฟก่อน เรื่องเรียนคงเริ่มเรียนปีหน้าครับ คงจะไปสอบใหม่ดูด้วย ลองดูไม่เสียหายครับ เป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกที

          รอน คิดว่าเลือกเรียนคณะที่เราชอบมากกว่าที่จะยึดติดกับสถาบันครับ รอนอยากเข้าเรียนคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ว่าคะแนนมันสูงมาก แต่ก็ต้องเลือกดูอีกทีหนึ่ง ช่วงนี้ขอตั้งใจทำงานก่อนก็แล้วกัน เรื่องอนาคตถ้ามีอะไรสานต่อได้ งานมันเข้าที่แล้ว ก็จะจัดสรรเวลาเรื่องการเรียนและการทำงานไปพร้อมๆ กัน

          ปีหน้าก็จะไปเรียนเทอมปกติ แล้วก็จะทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ยังไงก็ไม่ทิ้งเรื่องการเรียนอยู่แล้ว ต้องเรียนให้จบ"

          ส่วนเรื่องความรักนั้น รอนคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของวัยรุ่นที่มีแอบปลื้ม แต่รอนคงไม่มีเวลาไปดูแลใคร เพราะอยู่กับเพื่อนก็สนุกดีอยู่แล้ว เป็นชีวิตวัยรุ่นที่สนุก แต่ถ้าจะให้เลือกผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ครองนั้น ขอแค่ให้มีความเข้าใจกันก็พอแล้วสำหรับเขา

          "ผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ครองนั้น รอนคิดว่าผู้หญิงคนนั้นต้องสบายๆ ง่ายๆ ฮาๆ ไม่ค่อยห่วงอะไรมาก เข้าใจ ขอแค่คำนี้ครับ คำว่า เข้าใจ สามารถ อธิบายได้ทุกสิ่งครับ เข้าใจว่าทำอะไร รู้ว่าเราเป็นยังไง แล้วเราก็รู้ว่าเขาเป็นยังไง ต้องอาศัยคำคำนี้ ความเข้าใจกันมากกว่า เพราะแต่ละคนก็มีอะไรไม่เหมือนกัน ร้อยพ่อพันแม่ไม่รู้เป็นใครสองคนมาเจอกัน ต้องอาศัยความเข้าใจเยอะครับ ถ้าคนเราจะรักกันจริงๆ"

          เมื่อมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง และด้วยความที่ชอบงานด้านนี้ตั้งแต่เรียนแล้ว ทำให้รอนมีความตั้งใจเป็นพิเศษในการทำงาน และจะใช้โอกาสที่ได้รับนี้ฝึกฝนประสบการณ์และพัฒนาตัวเอง

          "รอน ชอบทำหมด หากมีโอกาสได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลง เดินแบบ ถ่ายแบบ ดีเจ วีเจ หรือว่าเป็นนักแสดง รอนว่าเป็นเรื่องที่มันท้าทายดีนะ รอนว่ามันยาก ตอนอยู่ในบ้านเอเอฟ แค่เรียนมันก็ยากแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำจริงๆ ถ้ามีโอกาส ผู้ใหญ่ส่งโอกาสดีๆ มาให้เรา ถ้าได้มาก็ทำเต็มที่อยู่แล้ว คือความสามารถของเรา ผมชอบงานด้านบันเทิง มันสนุกดี มันแข่งขันกันสูงอยู่แล้วสมัยนี้ ถ้าหากว่าไม่เก่งจริงก็ทำไม่ได้ เพราะใครๆ ก็ทำได้กัน ต้องพยายามพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น"

          โอกาสมาถึง ครอบครัวสนับสนุน พ่อแม่คอยเป็นกำลังใจ และไม่ได้หวังให้เขาส่งเงินให้ครอบครัว แต่หวังให้ลูกทำในสิ่งที่ตนเองรัก ทำในสิ่งที่ชอบ และมีความสุขกับการทำงาน ทำให้รอนไม่กดดัน และภูมิใจที่พ่อแม่เห็นเขามีความสุขกับการทำงานที่เขารัก

          "เรื่องครอบครัว พ่อกับแม่เขาไม่ได้หวังให้เราทำงานเพื่อเลี้ยงเขา เขาบอกว่า เราน่ะอายุ 18 นะ เด็กคนอื่นอายุ 18 เขายังเรียนมหาวิทยาลัยกันอยู่เลย พ่อแม่ยังส่งเงินให้เรียนอยู่เลย ขอให้เราจำไว้ว่า เราไม่ได้ทำงานนะ เราทำในสิ่งที่ตนเองชอบ ทำสิ่งที่ตนเองรัก เงินคือรายได้ที่เป็นสิ่งตอบแทน เป็นผลตอบแทนที่เราได้ เพราะฉะนั้นทำในสิ่งที่ตนเองรัก ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ ถ้าตัวเองมีเหลือจะดูแลพ่อแม่หรือน้องได้ก็ช่วยมา แต่อย่ากดดัน ต้องทำงานให้มีความสุข ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ ตั้งใจเรียนหนังสือก่อน แล้วค่อยว่ากัน เราก็ดีใจที่พ่อแม่เราบอกอย่างนั้น เขาไม่กดดันเรา เราก็ทำงานของเราไปให้เต็มที่ สนุกกับสิ่งที่เรารัก รอนก็ทำงานไปอย่างนี้แหละ...ชอบ"

          แม้ว่าความฝันของรอนไม่ได้มีพรมแดงปูทาง มีอุปสรรคมากมายที่เขาฝ่าฟัน ต้องล้มลุกคลุกคลาน เสียน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า แต่เขาก็ลุกขึ้นมาสู้ต่อด้วยตัวเอง เพราะเขามั่นใจในทางที่เขาเลือกเดิน และแล้วทางที่เขาเลือกเดินก็ทำให้เขาเป็นดาวบนท้องฟ้าที่ส่องแสงเจิดจรัส ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ดาวดวงที่สว่างที่สุด แต่ก็ยังเป็นดวงดาวที่ส่องแสงสว่างบนท้องฟ้าเช่นกัน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
- first Magazine
- pantip.com

 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
รอน - ภัทรภณ โตอุ่น หนุ่มน้อย AF 5 กับเส้นความฝัน อัปเดตล่าสุด 9 ตุลาคม 2551 เวลา 11:23:10 32,101 อ่าน
TOP