2 คู่ชิงทำเนียบขาวตะลุยหาเสียงเข้มช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันหย่อนบัตรเลือกตั้งผู้นำสหรัฐในวันที่ 4 พฤศจิกายน โพลทั่วประเทศล่าสุดเผย "บารัค โอบามา"ตัวแทนพรรคเดโมแครตยังคงนำหน้า "จอห์น แมคเคน" จากพรรครีพับลิกันห่าง 52% ต่อ 41% คาดไม่เกินเที่ยง 5 พฤศจิกายน รู้ผลอย่างไม่เป็นทางการใครเป็นประธานาธิบดีคนใหม่
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน สำนักข่าวเอเอฟพี รอยเตอร์ และเอพี รายงานว่า 2 คู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจากพรรคการเมืองสำคัญ 2 พรรค คือ นายบารัค โอบามา วุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ วัย 47 ปี ตัวแทนพรรคเดโมแครต กับ นายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกรัฐอริโซนาวัย 72 ปี จากพรรครีพับลิกัน พากันตะลุยหาเสียงในช่วง 48 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้งแบบเข้มข้น โดยหวังจะใช้ช่วงเวลาที่เหลือพลิกสถานการณ์สร้างคะแนนนิยมให้กับตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐสำคัญหลายรัฐที่จะเป็นตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 4 พฤศจิกายน
เอเฟพีระบุว่า วุฒิสมาชิกโอบามาใช้เวลาในวันเดียวกันนี้ตระเวนหาเสียงใน 3 เมืองใหญ่ในรัฐโอไฮโอ หนึ่งในจำนวนนั้นเป็นการร่วมปรากฏตัวในมหกรรมคอนเสิร์ตเพื่อการหาเสียงครั้งนี้ที่มีนักร้องเพลงร็อคชื่อดังอย่าง บรูซ สปริงสทีน จัดขึ้นเพื่อบารัค โอบามา โดยเฉพาะ ซึ่งดึงดูดผู้สนับสนุนนายโอบามาได้มหาศาล
ทั้งนี้ รัฐโอไฮโอเป็นรัฐสำคัญรัฐหนึ่งในการชี้ขาดผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ที่ผลการเลือกตั้งในรัฐนี้ส่งผลให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้รับตำแหน่งไปในที่สุด ในขณะที่คู่แข่งสำคัญคือ นายแมคเคนกำลังอยู่ระหว่างช่วงสุดท้ายของการตระเวนหาเสียงด้วยรถบัส 2 วัน ใน 3 รัฐสำคัญคือ นิวแฮมป์เชียร์, เพนซิลเวเนีย และปิดท้ายที่ฟลอริดา
รายงานข่าวระบุว่า นายโอบามาให้สัญญากับผู้สนับสนุนว่าจะนำ "การเมืองใหม่สำหรับวันเวลาใหม่" มาสู่สหรัฐอเมริกา พร้อมกับอ้างว่าได้รับการหนุนหลังอย่างสำคัญจาก "กระแสลมแห่งความถูกต้อง" ในการก้าวไปสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นผู้นำผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
ขณะที่นายแมคเคนยังคงอาศัยการหาเสียงด้วยการโจมตีคู่แข่งเป็นหลัก กล่าวหาว่านายโอบามาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอต่อการเป็นผู้นำประเทศใน "โลกที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย" ทั้งภัยจากกลุ่มก่อการร้ายอัลเคด้า และการคุกคามด้วยอาวุธนิวเคลียร์จากอิหร่าน แมคเคนระบุว่าการเลือกนายโอบามาเป็นการเลือกที่ผิด โดยมีชีวิต ของคนหลายล้านคนเป็นเดิมพัน แต่ก็ถูกตอบโต้ทันควันเช่นกันจากนายโอบามาที่หยิบยกเอาการที่รองประธานาธิบดี ดิ๊ก เชนีย์ ซึ่งประกาศสนับสนุนนายแมคเคนอย่างเปิดเผยออกมาว่า เป็นเครื่องพิสูจน์ว่านายแมคเคนใกล้ชิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับรัฐบาลชุดปัจจุบันเพียงใด เพราะนายเชนีย์รู้ดีว่าการได้นายแมคเคนมาเป็นผู้นำคนใหม่เท่ากับจะยังมีผู้สืบทอดนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีบุชที่กำลังสร้างความเสียหายระดับวิกฤตไปทั่วโลก และนโยบายต่างประเทศที่ก้าวร้าวของนายเชนีย์ต่อไปในอนาคต
เอเอฟพีระบุว่า หนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทม์ส และสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส เผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็น หรือโพล ล่าสุดที่มีกลุ่มตัวอย่างที่ถูกสำรวจเป็นผู้ที่คาดว่าจะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ทั้งหมดออกมาปรากฏว่า นายโอบามายิ่งมีคะแนนนำห่างออกไปเรื่อยๆ ถึง 11 เปอร์เซ็นต์ คือ 52 เปอร์เซ็นต์ เลือกโอบามา ในขณะที่ 41 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเลือกแมคเคน สอดคล้องกับผลสำรวจล่าสุดของ รอยเตอร์/ซี-สแปน/ซ็อกบี้ ที่ระบุว่าผลโพลต่อเนื่องหรือแทร็กกิ้ง โพลในช่วง 3 วันที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน พบว่าชาวอเมริกันผู้มีสิทธิออกเสียง เลือกโอบามามากกว่าแมคเคนในสัดส่วน 50 ต่อ 44 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ นายจอห์น ซ็อกบี้ ผู้อำนวยการการจัดทำโพลดังกล่าวเชื่อว่าแม้จะมีเวลาอีกถึง 2 วันเต็มๆ ที่อะไรๆ ก็สามารถจะเกิดขึ้นได้ แต่เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่แมคเคนจะพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้ชนะได้ในช่วงเวลาดังกล่าว
รอยเตอร์ระบุว่า ซ็อกบี้ยังสำรวจความคิดเห็นของบรรดาผู้ที่ไปลงคะแนนเสียงล่วงหน้าซึ่งมีมากเป็นประวัติการณ์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ และมากกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาถึงเกือบเท่าตัวคือมีผู้ไปลงคะแนนเสียงล่วงหน้าแล้วมากกว่า 20 ล้านคน ในเกือบ 25 รัฐที่เปิดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้า ส่วนใหญ่เลือกตัวแทนของพรรคเดโมแครต คือนายโอบามาคิดเป็นสัดส่วน 56 ต่อ 39 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนั้นโพลดังกล่าวยังชี้ให้เห็นว่าผู้มีสิทธิที่เป็นผู้หญิงและกลุ่มผู้มีสิทธิออกเสียงอิสระไม่สังกัดพรรค ซึ่งเป็นกลุ่มชี้ขาดสำคัญในการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา ยังคงเลือกนายโอบามามากกว่านายแมคเคนในสัดส่วนสูง คือ 8 เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่ม ผู้หญิง และ 10 เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่มอิสระ ในขณะ ที่แมคเคนได้คะแนนนิยมมากกว่าในกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มผู้นิยมแนวทางอนุรักษนิยม
นอกเหนือจากผู้สมัครที่มาจากพรรคการเมืองหลักทั้ง 2 คนแล้ว โพลของรอยเตอร์/ซี-แสนป/ ซ็อกบี้ ระบุด้วยว่า นายราล์ฟ เนเดอร์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอิสระไม่สังกัดพรรค ได้รับเสียงสนับสนุน 2 เปอร์เซ็นต์, นายบ๊อบ บาร์ ผู้สมัครอิสระอีกรายได้ 1 เปอร์เซ็นต์ โดยมีผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใครเพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ จะเริ่มเปิดหีบเลือกตั้งอย่างเป็นทางการแตกต่างกันออกไปตามแต่ที่จะมีการกำหนดกันในแต่ละรัฐ และขึ้นอยู่กับความแตกต่างของเส้นแบ่งเขตเวลา (ไทม์โซน) ที่แตกต่างกันถึง 4 ไทม์โซน ในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามมี 2 เมืองเล็กๆ ในรัฐนิวแฮมป์เชีย ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศที่มีธรรมเนียมเปิดให้มีการเลือกตั้งตั้งแต่นาทีแรกของวันที่ 4 พฤศจิกายน คือ หลังเที่ยงคืนของคืนวันที่ 3 พฤศจิกายน ก็จะมีการหย่อนบัตรเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในเมือง ฮาร์ทส โลเคชั่น และเมือง ดิกซ์วิลล์ น็อทช์ ซึ่งจะตรงกับเวลา 12.00 น. วันที่ 4 พฤศจิกายน ตามเวลาในประเทศไทย ในขณะที่คูหาเลือกตั้ง ส่วนใหญ่จะเปิดอย่างเป็นทางการในเวลา 06.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับ 18.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย และมีบางส่วนที่อาจเปิดให้หย่อนบัตรล่าช้าลงไปตามเส้นแบ่งเวลา โดยที่ช้าที่สุด คือ รัฐอลาสกาที่เปิดหีบในเวลา 23.00 น. และฮาวาย 24.00 น. ตามเวลาไทย
ส่วนการปิดหีบจะเป็นไปตามกำหนดของแต่ละรัฐเช่นกัน เร็วที่สุดจะเป็นรัฐอินเดียนาและ เคนตักกี ที่จะปิดหีบในเวลา 04.00 น. ของวันที่ 5 พฤศจิกายน ตามเวลาไทย และหลังสุดคือ อลาสกา ที่จะปิดหีบในเวลา 12.00 น. ของวันที่ 5 พฤศจิกายน ตามเวลาไทย
สำหรับผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการนั้น คาดว่าจะเริ่มมีการทยอยประกาศผลกันในแต่ละรัฐไล่จากภาคตะวันออกไปสู่ภาคตะวันตกของประเทศ โดยผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่า อย่างเร็วที่สุดที่จะได้รับทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการว่าใครคือผู้ชนะก็คือ เวลา 11.00 น. ของวันที่ 5 พฤศจิกายน ตามเวลาในประเทศไทย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
