x close

ป้ารักสไบทองเท่าชีวิต … คำพูดจากใจ ดาราภรณ์

 

ดาราภรณ์ อิ่มกระจ่าง

 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  นิตยสาร ฅ คน


          เรื่องราวของเด็กหญิงตัวเล็กๆ "สไบทอง" ได้ผ่านพ้นมรสุมช่วงหนี่งไปแล้ว และกำลังมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความสุขจากการได้อยู่อาศัยกับแม่ผู้เป็นที่รัก ทำให้หลายคนย้อนกลับไปนึกถึง "ป้า" ผู้ที่เลี้ยงสไบทอง และให้แหล่งอาศัยพักพิงมาตั้งแต่เกิด คำถามในใจใครต่อใครหลายคนต่างอยากรู้ว่าวันนี้ "ป้า" ของสไบทองเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้เราจะพาไปติดตามกันค่ะ

          หลังจากย้ายไปอยู่กับแม่ที่สถานสงเคราะห์วังทอง สไบทองไม่ได้คอยช่วยงานให้กับ "ดาราภรณ์ อิ่มกระจ่าง" หรือป้าแท้ๆ ของ "สไบทอง" อีกแล้ว นั่นทำให้ผู้เป็นป้ามีชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสิ้นเชิง แต่ละวันป้าจะต้องออกไปขายปลาจากเดิมที่ได้สไบทองคอยช่วยเหลือ แต่ป้าก็บอกว่าไม่ได้ลำบากอะไร เพราะเธอถนัดค้าขายมาแต่เล็ก

          "โอ๊ย...เรื่องค้าขายนี่ฉันทำมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว ฉันก็ขายเองได้ ไม่มีปัญหา พูดจริงๆ ฉันนี่ขายดีกว่าสไบทองอีก"

          แต่สิ่งที่ป้าดาราภรณ์รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ หลังจากรายการคนค้นคนได้ตีแผ่เรื่องราวของสไบทองออกไป ทำให้เธอถูกคนมองในแง่ลบ ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนบ้านในวัดโบสถ์เองที่ต่างก็เกลียดชังเธอ ซึ่งเธอยืนยันว่า เธอไม่เคยบังคับสไบทองให้ออกไปทำงานเลย

          "จริงๆ ก็คือ เขาอยากทำงานของเขาเอง อย่างที่เขาไปรับจ้างทำความสะอาด ไปดายหญ้าบ้านคนอื่น ฉันก็ไม่ได้ใช้เขานะ ฉันบอกเขาหลายครั้งว่าให้นอน ให้อ่านหนังสือ แต่เขาก็ไม่เชื่อ เขาอยากได้เงินไปให้ตา ไปซื้อของของเขา เขาอยากทำอย่างนั้นจริงๆ ฉันไม่เคยบังคับ ส่วนที่ว่าเขาตื่นตอนตีสาม เขาก็ตื่นเฉพาะวันที่ขายผักนั่นแหละ แล้วนานๆ ทีถึงจะขาย เดือนนึงขายอยู่สองวันได้มั้ง แล้วที่ต้องตื่นมาเลือกผักเองก็เพราะว่าเขาเป็นคนขายเขาจะรู้ของเขาเองว่าตอนนี้ลูกค้าต้องการผักอะไร ผักอันไหนขายดี เพื่อที่จะได้กำหนดราคาถูก"


สไบทอง




          ดาราภรณ์ยืนยันว่า ภาพที่เผยแพร่ออกไปทางโทรทัศน์ช่างสวนทางกับความเป็นจริงอย่างมาก ทั้งที่ความจริงเธอไม่ได้ปล่อยหลานไปขายของอยู่คนเดียว แต่เธอไปช่วยแทบทุกครั้ง

          "ขายแค่ชั่วโมง สองชั่วโมง ถ้าขายไม่หมดฉันก็ช่วย ฉันช่วยบ่อยนะอย่างเวลาไปเก็บขวด เก็บขยะ ฉันก็ไปช่วยเก็บแทบทุกครั้ง ที่เห็นในทีวีนั่นไม่จริงสักอย่าง ความจริงเด็กมันขายของหมดตั้งแต่บ่าย แต่ก็ลากมันไปยันมืด แล้วอีตอนถ่ายนี่เวลาอากาศดีๆ ก็ไม่ถ่าย ไปถ่ายเอาอีตอนฝนตก คนเขาก็คิดว่าใช้งานหลานหนัก ทรมานหลานอย่างนั้นอย่างนี้ บอกตรงๆ ถ้ารู้ว่าเสนอออกมาอย่างนี้แต่แรกฉันไม่ให้มาถ่ายทำหรอก ไม่มีรายการนี้ฉันก็ไม่เห็นจะตาย"

          เด็กหญิงสไบทองอาศัยอยู่กับป้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 ตอนนั้นครอบครัวของดาราภรณ์มีกินมีใช้พอสมควร ดาราภรณ์บอกว่า เธอมักจะตามใจสไบทอง อยากได้อะไรก็หาให้ และเพิ่งจะมาให้ช่วยทำงานนิดหน่อยตอนสามสี่ปีหลังที่ดาราภรณ์ลาออกจากงาน สวนทางกับเสียงของชาวบ้านและเพื่อนๆ ของสไบทองที่ว่าเคยเห็นเด็กหญิงทำงานมาตั้งแต่ ป.2 แล้ว และหลายครั้งที่ได้ยินเสียงของเด็กผู้หญิงร้องด้วยความเจ็บปวดจากการถูกตี

          "ชาวบ้านเขาจะไปรู้อะไร พูดจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ชอบคิดแล้วเอาไปพูดกันเอง อย่างบางทีฉันตีหมา คนเขาก็หาว่าฉันตีสไบทอง แล้วก็เอาไปพูดใส่ร้ายฉันเสียๆ หายๆ คือเรื่องของเรื่องเขาไม่เห็นไง" ป้าดาราภรณ์ชี้แจงและยืนยันว่าตนเองไม่เคยตีสไบทองรุนแรง นอกจากบางครั้งมีตีมีดุบ้าง เมื่อสไบทองทำผิด ที่สำคัญเธอไม่เคยใช้คำพูดหยาบคาบกับหลาน โดยเธอจะแทนตัวเองว่า "ป้า" และสไบทองแทนตัวเองว่า "หนู" เสมอ 

          ดาราภรณ์บอกว่า เธอเป็นคนเสียงดัง หน้าดุ พูดจาไม่เพราะ แต่จริงๆ เป็นคนปากร้ายใจดี ส่วนสไบทองนั้นก็เป็นเด็กดี ขยัน และกตัญญู ทำให้ผู้เป็นป้าถึงกับเอ่ยปากว่า "ฉันรักหลานคนนี้มากเท่ากับชีวิตของฉันนี่แหละ"

          ความรักของดาราภรณ์ ทำให้เธอได้วางอนาคตให้หลานคนนี้ว่า จะสนับสนุนให้สไบทองได้เป็นตำรวจสมใจ โดยเธอจะขอทุนให้สไบทองได้เรียน หรือถ้าไม่เพียงพอก็จะให้กู้เงินรัฐเพื่อเรียนให้จบปริญญา แล้วพอสไบทองทำงานจึงค่อยผ่อนใช้คืน 

          แต่ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นกับดาราภรณ์และการวางแผนชีวิตเปลี่ยนไป เพราะตอนนี้มีแต่คนกล่าวหาเธอ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้โหดหลานกับหลานสไบทองขนาดที่ใครๆ เข้าใจ และคำพูดที่ดาราภรณ์ทิ้งท้ายไว้เพื่อบอกความรู้สึกของตัวเองได้อย่างดีก็คือ "ชั้นจะอดทนให้มากที่สุด"

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

โพสต์กระทู้โดย คุณนินจัง

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ป้ารักสไบทองเท่าชีวิต … คำพูดจากใจ ดาราภรณ์ อัปเดตล่าสุด 22 พฤศจิกายน 2551 เวลา 09:24:35 98,600 อ่าน
TOP