x close

เคล็ด(ไม่)ลับ... กินเจ

เคล็ด(ไม่)ลับ..."กินเจ"!!! "เจี๊ยะฉ่าย"5สี5ธาตุไม่ขาดสารอาหาร

          "เทศกาลกินเจ"!!! หรือ "เทศกาลกินผัก" หรือ "เจี๊ยะฉ่าย"ของชาวไทยเชื้อสายจีนเวียนมาถึงอีกครั้ง ถ้านับตามปฏิทินจีนเทศกาลกินเจจะเริ่มเดือน 9 ซึ่งหมายถึงเดือน 10 หรือเดือนตุลาคม มีระยะเวลา 9 วัน โดยปีนี้เทศกาลกินเจของชาวไทยเชื้อสายจีนในเมืองไทย เริ่มตั้งแต่วันที่ 22-30 ตุลาคม..... 

          ทั้งนี้การ "กินเจ" ถือเป็นการปฏิบัติกันมาจนเป็นประเพณี พอถึงช่วงนี้แทบไม่ต้องเดินเข้าไปสอบถามว่าร้านใดขายอาหารเจ เพราะ "ธงสีเหลือง" มีตัวอักษรจีนสีแดงแปลได้ว่า "ไม่มีอาหารคาว" ที่ปักติดอยู่ที่แผงอาหาร หรือหน้าร้านล้วนเป็นคำตอบได้อย่างดี และปีนี้ใครที่ตั้งใจว่าจะ "เจี๊ยะฉ่าย" ให้ถูกวิธีลองมาเตรียมพร้อมการปรุงและการรับประทานอาหารเจที่ถูกต้องกัน..... 

         "อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงโดยปราศจากเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่มีส่วนประกอบอื่นใดที่ทำจากสัตว์ทุกประเภท ที่สำคัญอาหารเจจะ "ไม่กินผัก" งดเว้นการปรุงด้วย "ผักฉุน" 5 ประเภท คือ "กระ เทียม-หัวหอม-หลักเกียว-กุยช่าย-ใบยาสูบ" เพราะเป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง ส่งผลกระ ทบต่ออารมณ์ อีกทั้งยังมีพิษทำลาย "พลังธาตุทั้ง 5" ในร่างกาย..... 

          ผู้ที่กินเจมีความเชื่อว่า "กระเทียม" รวมถึงหัวกระเทียม-ต้นกระเทียม จะไปทำลายการทำงานของ "หัวใจ" และกระทบกระเทือนต่อ "ธาตุไฟ" ในกาย ถึงแม้กระเทียมจะมีสารที่สามารถละลายไข มันในเส้นเลือด หรือคอเลสเตอรอลได้ แต่กระเทียมก็มีความระคายเคืองสูง ผู้ที่เป็น "โรคกระเพาะ" หรือกระเพาะอาหารเป็นแผล และ "โรคตับ" จึงไม่ควรรับประทานมาก 

          "หัวหอม" รวมถึงต้นหอม-ใบหอม-หอมแดง-หอมขาว-หอมหัวใหญ่ ตามหลักเวชศาสตร์และเภสัชศาสตร์โบราณของจีนถือว่าหัวหอมจะไปทำลายการทำงานของ "ไต" และกระทบกระเทือนต่อ "ธาตุน้ำ" แม้ "หอมแดง" จะช่วยขับพยาธิ ขับลม แก้ท้องอืด ปวดประจำเดือนและอาการบวมน้ำได้ แต่การบริโภคเป็นประจำหรือมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการหลงลืมง่าย "ประสาทเสีย" มีกลิ่นตัว ฟันเสีย เลือดน้อย และนัยน์ตาฝ้ามัว

           "หลักเกียว" คือ "กระเทียมโทนจีน" ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม แต่เล็กและยาวกว่า จะทำลายการทำงานของ "ม้าม" กระเทือน "ธาตุดิน"....."กุยช่าย" ทำลายการทำงานของ "ตับ" และกระทบ กระเทือนต่อ "ธาตุไม้"....."ใบยาสูบ" ซึ่งหมายถึง "บุหรี่-ยาเส้น" เป็นของเสพติดมึนเมา จะทำลายการทำงานของ "ปอด" และกระทบกระเทือนต่อ "ธาตุโลหะ" 

          นอกจาก "ผักต้องห้าม" ทั้ง 5 แล้ว สำหรับผักอื่นๆ รวมทั้งถั่วและผักผลไม้จะต้องกินในแต่ละวันให้ครบ 5 สี ตาม "สีของธาตุ" ทั้ง 5 คือ "สีแดง" สัญลักษณ์ "ธาตุไฟ" ให้คุณต่อหัวใจ ได้จากถั่วแดง-มะเขือเทศ-พริกสุก-แครอท-มะละกอ-ส้ม-แตงโม นอกจากนี้ธัญพืชประเภท "ข้าวโอ๊ต" ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลส่วนเกิน เพื่อลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ 

          "สีดำ" สัญลักษณ์ "ธาตุน้ำ" ให้คุณต่อไต ได้จากถั่วดำ-เผือก-มะเขือม่วง-เห็ดหูหนู-ลูกหว้า-องุ่น อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงของผู้ที่มีปัญหาเรื่องไต คือ อาหารรสเค็ม....."สีเหลือง" สัญลักษณ์ "ธาตุดิน" ให้คุณต่อม้าม ได้จากถั่วเหลือง-ฟักทอง-ข้าวโพด-พริกเหลือง-มะม่วง-กล้วย-ทุเรียน ช่วยบำรุงม้ามอย่างมาก แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน....."สีขาว" สัญลักษณ์ "ธาตุโลหะ" ให้คุณต่อปอด ได้จากถั่วขาว-ลูกเดือย-ผักกาดขาว-กะหล่ำดอก-มะพร้าว-น้อยหน่า ให้คุณค่าต่อปอด และควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด..... 

          "สีเขียว" สัญลักษณ์ "ธาตุไม้" ให้คุณต่อตับ ได้จากถั่วเขียว-คะน้า-ถั่วฝักยาว-ผักบุ้ง-ฝรั่ง-ชมพู่-มะเฟือง ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเปรี้ยว บางวันอาจเปลี่ยนมาทาน "สา หร่ายทะเล" มีทั้งสดและแห้ง พร้อมใช้เกลือทะเลปรุงรสได้ รวมทั้งอาหารมีส่วนผสมของ "งาขาว-งาดำ" ก็ได้.....ผู้ที่กินเจควรหลีกเลี่ยงการบริโภค "อาหารหมักดอง" ควรหันมารับประทานอาหารสด-ปรุงใหม่ๆจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 

          สำหรับ "เครื่องดื่ม" คนกินเจควรดื่ม "น้ำผลไม้สด" ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก หรือน้ำมะตูม เพราะน้ำผลไม้ดังกล่าวจะทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง ควร "งดน้ำหวาน" ที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน นอกจากการดื่มน้ำผลไม้สดๆแล้ว ควรดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว เป็นประ จำทุกวันด้วย 

          การกินเจนั้นควรทานอาหารให้ครบทั้ง "5 สี-5 ธาตุ" โดยสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละวันไม่ควรเลือกทานอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะจะทำให้ไม่ได้คุณค่าอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ที่สำคัญ คือ การเลือกทานผัก-ผลไม้ในช่วงเทศกาลเจนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นของแพงหรือหายาก ควรเลือกทานผัก-ผลไม้ที่มีตามฤดูกาล

          ด้าน "อาจารย์ศรีสมร คงพันธ์" อาจารย์สอนอาหาร กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรง งาน บอกว่า ถ้าจะกินเจให้มีสุขภาพดีจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ถั่วเหลือง" หรือ "เต้าหู้" อย่าใช้แป้งมาทำ เพราะมีแต่คาร์โบไฮเดรต และในช่วง 10 วันที่ "กินเจ-กินผัก" ถ้าจะไม่ ให้ "ขาดสารอาหาร" ต้องกินอาหารครบ 5 หมู่ ถั่วเหลืองมีโปรตีนเทียบเท่าเนื้อสัตว์ รองลงมา คือ พวกเห็ด แต่น้อยกว่าในถั่ว นอกจากนี้ข้าวกล้องก็มีโปรตีนสูงกว่าข้าวขาว 

          "การทำอาหารเจอย่าใช้น้ำมันมาก ใช้แต่พอควร ในหนึ่งวันไม่ควรใช้น้ำมันปรุงอาหารเกิน 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลไม่ควรเกิน 2 ช้อนชาเป็นอย่างมาก ก็จะทำให้สุขภาพดี ถ้าเป็นอาหารเจแบบไทยๆจะดีมากเพราะคนกินเจจะมีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลสูง กินไขมันมาก เนื่องจากอาหารเจที่ขายในตลาดจะใช้น้ำมันมาก" อาจารย์ศรีสมร กล่าว 

          "กินเจ" ไม่ใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนกินเจจะต้องดำรงตนให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาดงดงามทั้งกาย-วาจา-ใจ ถือศีลบำเพ็ญธรรมไปพร้อมๆกันด้วย จึงเรียกว่า.....
"กินเจที่แท้จริง"!!! 

          สูตรเด็ด"อาหารเจ" 

          "โปรตีนเกษตร" หรือโปรตีนถั่วเหลือง ทำจากแป้งถั่วเหลือง ปราศจากไขมัน มีคุณค่าทางอาหารสูง ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้หลายชนิด มีหลายรูปแบบ เช่น "ชนิดใหญ่พิเศษ" ใช้ใส่แกงเขียวหวาน พะโล้ สะเต๊ก น้ำตก , "ชนิดเกล็ดขนาดกลาง" ใช้ผัดกระเพรา แกงเขียว หวาน แกงเผ็ด ผัดพริกขิง , "ชนิดเกล็ดขนาดเล็ก" ใช้ทำลาบ แทนเนื้อหมูหรือหมูสับ , "ชนิดป่นละเอียด" ใช้ทำขนมจีนน้ำยา แกงเลียง ซุป 

          "เต้าหู้" เป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มีหลายชนิด มี "โปรตีน" และสารอาหารอื่นๆครบถ้วน ไม่มีคอเลสเตอรอล....."ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ" ประกอบ ด้วยโปรตีน 7-12% มีวิตามินและแร่ธาตุมากกว่า 20 ชนิด มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคเหน็บชา โรคปากนกกระจอก บำรุงสมอง ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันโรคโลหิตจาง 

          "เห็ด" ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้ และเป็นแหล่งโปรตีนที่มีรสดี มีกรดอะมิโน รวมทั้งวิตามิน แร่ธาตุหลายชนิด นอกจากจะใช้แทนเนื้อสัตว์แล้วเห็ดยังใช้แทนผักได้ เห็ดมีหลายชนิด แต่ "เห็ดหอม" เป็นเห็ดที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารเจ เพราะปรุงได้หลายอย่าง....."ถั่วเหลือง" มีโปรตีนมาก จึงใช้แทนเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆด้วย ถั่วเหลืองช่วยละลายคอ เลสเตอรอล มีธาตุเหล็กสูง จึงช่วยบำรุงโลหิต บำรุงประสาท ป้องกันโรคตับและช่วยละลายนิ่วในถุงน้ำดี 

          "แป้งหมี่กึง" เหนียวนุ่มคล้ายเนื้อสัตว์....."เมล็ดพืช" ประกอบด้วยไขมันที่มีประโยชน์ มีโปร ตีนประมาณ 20% มีเกลือแร่และวิตามินมาก มีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง



ข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เคล็ด(ไม่)ลับ... กินเจ อัปเดตล่าสุด 24 กันยายน 2558 เวลา 17:44:11 31,479 อ่าน
TOP