ยันไม่ขึ้นน้ำมัน ตรึงราคาปั๊ม งดเก็บเงินกองทุน คาดอุ้มได้ 3 เดือน (ข่าวสด)
เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 8 พฤษภาคม ที่โรงแรมดุสิตธานี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรัฐบาลเตรียมออกพระราชกำหนด เพิ่มเพดานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันว่า ยืนยันว่าเราได้ขอกระทรวงพลังงาน โดยอาศัยกองทุนน้ำมันว่าการขึ้นภาษีจะไม่กระทบราคาน้ำมันปั๊ม ฉะนั้นกระทรวงพลังงานได้ประชุมกองทุนน้ำมันไปแล้ว และจะดูแลเรื่องนี้
เมื่อถามว่ามีข่าวว่าจะขึ้นภาษีถึง 10 บาท นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องแยกการขยับเพดาน กับการจัดเก็บจริง และขอยืนยันว่าถ้ามีมาตรการจัดการภาษีน้ำมันเพิ่มเติม จะไม่ให้ส่งผลกระทบถึงผู้บริโภค เพราะจะมีการใช้กลไกของกองทุนน้ำอยู่
ทั้งนี้ น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงว่า หลังจากกระทรวงการคลัง ได้เสนอให้ ครม.ขึ้นภาษีสรรพาสามิตทุกชนิด รวมไปถึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย บุหรี่ไปแล้ว จึงเป็นที่คาดว่าจะมีการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต หากมีการประกาศใช้พระราชกำหนด แก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติ พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ทางกระทรวงการคลังคงจะออกประกาศเรื่องลดอัตรา และยกเว้นภาษีสรรพสามิต ซึ่งมีส่วนเกี่ยวกับการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย หากประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ แล้วไม่มีการดำเนินการใดๆ จะทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้น
"อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชา ชนผู้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั้งประเทศ และยังส่งผลต่อการขึ้นราคาสินค้าสร้างความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ดังนั้นคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) กระทรวงพลังงาน ได้มีการประชุมมีมติที่จะนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาใช้เป็นกลไกในการบรรเทาผลกระทบ บรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จากการปรับขึ้นภาษี สรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง มีระยะเวลา 1 เดือน โดยจะมีการปรับลดกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการชั่วคราว เพื่อมิให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงตามสถานบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ขายในราคาที่สูงขึ้น จนกว่าราคาน้ำมันจะปรับราคาขึ้นสู่ภาวะปกติ" น.พ.วรรณรัตน์ กล่าว
รมว.พลังงาน กล่าวต่อว่า ถึงแม้จะมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงก็จะไม่มีการปรับราคาขึ้นจนมากเกินไป หากมีการปรับขึ้นก็เป็นการปรับขึ้นราคาตามกลไกของตลาด อย่างเช่นในวันนี้ มีการปรับขึ้นราคา 60 สตางค์ เป็นการปรับขึ้นราคาตามธรรมชาติ ไม่เกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิต
ด้าน นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า แนวทางที่เตรียมไว้หลังจากภาษีสรรพสามิตน้ำมันปรับขึ้นคือการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปตรึงราคาแทนประชาชนไว้ก่อนเท่ากับภาษีที่ปรับขึ้น หากภาษีปรับขึ้น 2 บาท/ลิตร จะใช้กองทุนน้ำมันเข้าไปตรึงราคา 2 บาท/ลิตร วิธีการนี้จะทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกอยู่ในระดับเดิม ไม่ปรับขึ้นตามอัตราภาษี และหลังจากนั้นจะเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันในช่วงที่ราคาน้ำมันขาลง แม้ขณะนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกเริ่มปรับสูงขึ้น แต่เชื่อว่าจะมีจังหวะในการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมัน
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กล่าวว่า สนพ.เตรียมประกาศลดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันไว้แล้ว หากภาษีสรรพสามิตน้ำมันปรับขึ้นจะประกาศลดเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันทันที เพื่อไม่ให้ราคาหน้าปั๊มปรับขึ้น โดยประเมินว่าการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันในครั้งนี้จะใช้เงินเข้าไปตรึงราคาให้กับประชาชนประมาณ 5,300 ล้านบาท ในช่วง 1 เดือน แต่หากใน 1 เดือนนี้ไม่มีจังหวะในการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันฯ อาจจะยืดเวลาออกไปอีก 2 เดือนหรือ 3 เดือน ตรงนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะกองทุนน้ำมันมีเงินสดสุทธิเหลืออยู่ถึง 15,000 ล้านบาท สามารถเข้ามาดูแลราคาน้ำมันหลังภาษีปรับขึ้นได้ถึง 10 เดือน
นายวีระพล กล่าวว่า ยอมรับว่าขณะนี้ประเมินราคาน้ำมันตลาดโลกยาก ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับขึ้นไปแล้วถึง 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หวังว่าจะปรับลดลงอีกในไม่ช้า ถ้าโชคดีกองทุนน้ำมันจะเก็บเงินคืนจากภาระภาษีหมดภายใน 1 เดือน แต่ถ้าโชคไม่ดีต้องยืดเวลาออกไป หลักการที่กระทรวงพลังงานเตรียมไว้คือจะไม่ให้การขึ้นภาษีกระทบกับราคาน้ำมันขายปลีก หากน้ำมันยังอยู่ในช่วงขาขึ้นจะยืดเวลาการเก็บคืนภาษีออกไป ถ้าโชคไม่ดีจริงๆ คงต้องนำเงินที่มีเหลืออยู่ 15,000 ล้านบาทมาใช้จนหมด แต่โอกาสนี้น้อยมาก เพราะราคาน้ำมันมีขึ้นมีลง คงจะไม่ปรับขึ้นตลอดเวลา และในช่วงนี้หากเป็นไปตามวัฏจักรราคาน้ำมัน น้ำมันดีเซลอยู่ในช่วงขาลง แต่เบนซินอยู่ในช่วงขาขึ้นไปจนกว่าจะถึงหน้าหนาว
ขณะที่ นายชวลิต หอประเสริฐวงศ์ ที่ปรึกษาด้านวิชาการเครือข่ายเหล้าพื้นบ้านภาคเหนือ กล่าวถึงผลกระทบที่ได้รับจากนโยบายการขึ้นภาษีเหล้าของรัฐบาลว่า จากเดิมที่เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตสุราพื้นบ้านแห่งประ เทศไทย หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายเหล้าพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล เพื่อเรียกร้องขอความเห็นใจจากรัฐบาลหลายข้อ อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้กระทำและขายสุรากลั่นชุมชน ภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งกระทรวงการคลังขอเสนอปรับลดอัตราภาษีสุราขาว ตามมูลค่าร้อยละ 28 เป็นมูลค่าร้อยละ 25 และตามปริมาณจากลิตรละ 100 บาท ลดเหลือ 70 บาท แห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เพื่อป้องกันความยุ่งยากในการบริหารจัดเก็บภาษี อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการส่งเสริมการผลิตสุรากลั่นชุมชน แต่รัฐบาลกลับมีมาตรการขึ้นภาษีเหล้า โดยขึ้นราคาแอลกอฮอล์บริสุทธิ์จากลิตรละ 70 บาท มาเป็น 110 บาท ล่าสุด 120 บาท ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเหล้าพื้นบ้าน เนื่องจากยังถูกบังคับใช้ในฐานภาษีเดียวกับบริษัทใหญ่ทั่วไป
นายชวลิต กล่าวต่อว่า ในการประชุมสมาชิกเครือข่ายเหล้าพื้นบ้านภาคเหนือและเครือข่าย วิสาหกิจชุมชน ผู้ผลิตสุราพื้นบ้านแห่งประเทศไทย จึงได้มีมติสร้างพันธมิตรกับเอ็นจีโอ และนักกฎหมายเอกชน เพื่อร่วมกันต่อสู้และเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือต่อไปอย่างเร่งด่วน โดยแนวทางการเรียกร้องจะมีทั้งเชิงนโยบายและการเคลื่อนไหวในพื้นที่ เชิงนโยบายจะมีการร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับสุราพื้นที่ ที่จะมุ่งเน้นการส่งเสริมและอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย ส่วนระดับพื้นที่จะมีการรวมตัวของบรรดาแกนนำในจังหวัดต่างๆ ของภาคเหนือยื่นหนังสือต่อรัฐบาลผ่านหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะเป็นการต่อสู้เชิงสันติ
"การขึ้นภาษีครั้งนี้ผู้ผลิตสุราพื้นบ้านไม่สามารถซื้อแสตมป์จากสรรพสามิตในราคาเดิม ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมาแล้ว ทำให้เชื่อได้ว่ารัฐกำลังกระทำการอันขัดต่อกฎ หมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 84 (1) (5) (6) (8) และ (14) โดยเฉพาะ (6) ระบุว่าดำเนินการให้มีการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม คุ้ม ครอง ส่งเสริมและขยายโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาภูมิปัญ ญาท้องถิ่นและภูมิปัญญาไทย เพื่อใช้ในการผลิตสินค้า บริการ และการประกอบอาชีพ" ที่ปรึกษาด้านวิชาการของเครือข่ายเหล้าพื้นบ้าน กล่าว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
