x close

อนุพงษ์ ลั่นไม่เป็นศัตรูประชาชน ยันเข้าได้กับทุกรัฐบาล

Pic_4804



สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

          วันนี้ (9 พฤษภาคม) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของทหารกับสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทย ว่า ช่วงที่ผ่านมาบ้านเมืองเราไม่ปกติและสถาบันต่างๆ ถูกดึงเข้าไปในสถานการณ์ด้วย ส่วนกองทัพจะดูบทบาทของตัวเองว่าจะต้องอยู่ในจุดไหนอย่างไร ซึ่งตนมีแนวคิดง่ายๆ คือจะไม่เป็นศัตรูกับประชาชนและไม่นำกองทัพไปเป็นผู้ ต้องหาอย่างในเหตุการณ์ใหญ่ๆ ในอดีตที่ผ่านมาคือไม่ทำร้ายประชาชน ที่สำคัญคือต้องปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งรัฐบาล เช่นเดียวกับอธิบดีในกระทรวงต่างๆ เพราะผู้ถืออำนาจรัฐคือรัฐบาล เมื่อสั่งการอะไรเราก็ทำ แต่จะทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์กับส่วนรวมและไม่ผิดหลักการเบื้องต้น โดยเฉพาะจะต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด และเป็นหลักได้เมื่อบ้านเมืองวิกฤติ

          "หลายเหตุการณ์เกิดจากคนไม่เข้าใจ เราก็ต้องทำความเข้าใจเท่าที่จะทำได้ แต่เราไม่มีสิทธิ์จะโอนเอนออกไป และต้องพยายามยืนหลักให้ได้แต่หากมีโอกาสทำความเข้าใจได้ก็จะทำ ส่วนคนเข้าใจและให้กำลังใจก็มีเยอะ ในทางกลับกันคนไม่เข้าใจก็มีมาก แต่เราไม่มีสิทธิ์จะไปแสดงตัวโอนอ่อนตามกระแส คงเหมือนกับทุกสถาบันแม้กระทั่งสื่อสารมวลชนที่คนไม่เข้าใจก็จะมองว่า บางสื่อเอียงข้าง แต่ทุกคนในสังคมได้บทเรียนมาจากสถานการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีความก้าวหน้าของการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญ" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

          พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวต่อว่า ใครมาเป็นรัฐบาลแล้วให้เราทำงานที่ถูกต้องเราก็ต้องทำ หากย้อนไปในสมัยของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ขอให้กองทัพแสดงบทบาทด้านความมั่นคง โดยใช้คำว่าอย่าไปแตะตัวประชาชน แม้กระทั่งการปกครองภายในกองทัพ ซึ่งตอนนั้นรัฐบาลมีนโยบายไม่ใช้กำลังทหารไปสลายผู้ชุมนุมเหมือนนโยบายสมัยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ซึ่งจะเห็นได้ว่าตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาทำหน้าที่ แต่ไม่ได้ใช้ตน จนสื่อมวลชนเองมองว่าตนเดินตามนายสมัคร เพราะกลัวว่าจะหลุดออกจากตำแหน่ง ยืนยันได้ว่ารัฐบาลนายสมัครกับตนนั้นมีความเข้าใจกันดี แม้กระทั่งวันที่หมดอำนาจและนายสมัครไม่สบาย ตนก็ยังไปเยี่ยม

          "สิ่งที่ท่านสั่งบางเรื่อง ผมก็เรียนว่าทำไม่ได้ ท่านก็โอเค ตอนที่ท่านสั่งให้ผมไปสลาย ผมก็บอกว่าทำไม่ได้ ท่านก็เข้าใจแล้วก็ปรึกษาหารือกันว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งท่านก็เตรียมจะยกเลิก แต่เผอิญโดนคดีชิมไปบ่นไปเสียก่อน ซึ่งท่านสมัครก็ให้เกียรติเรา จนกระทั่งรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ก็คล้ายๆ กัน คือไม่ใช้ทหาร จนกระทั่งถูกกดดันจากสังคม ทำให้ผมไม่มีจุดจะยืนก็ออกไปช่วยตำรวจรักษาการตามจุดต่างๆ ซึ่งรัฐบาลนี้ก็เช่นเดียวกันการดำเนินการที่ผ่านมาก็สนับสนุนตามขอบเขต ตามกฎหมาย" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

          พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ในขณะที่มีการประชุมได้หารือกัน ซึ่งรัฐบาลและกองทัพเห็นตรงกันคือไม่จำเป็นต้องสลาย เพราะหากชุมนุมโดยสงบจะไม่มีใครทำอะไรเสื้อแดง แต่ฝ่ายเสื้อแดงไปทำผิดกฎหมายมาก มีการปิดการจราจรทั้งหมด จนทูตหลายประเทศก็เห็นตรงกันว่า ไม่มีความชอบธรรม กระแสสังคมก็มองอย่างนั้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การสลายการชุมนุม แต่เป็นการไปรักษาความสงบเรียบร้อย เพราะการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลสามารถอยู่ได้จนถึงวันสุดท้าย และหากยังมีการชุมนุมอีกก็ขอรับรองด้วยเกียรติว่าจะไม่มีการสลาย เพียงแต่อาจจะมีการล้อมเอาไว้ไม่ให้คนมาใหม่เข้าไปได้ ซึ่งสามารถตอบคำถามได้ว่าไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ทำหมดทั้งสิ้น

          เมื่อถามว่า พล.อ.อนุพงษ์ เป็น ผบ.ทบ.เนื้อหอม เพราะทุกรัฐบาลอยากสร้างความสนิทสนมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า หากฝ่ายทหารไม่คิดพิเรนอยากไปถืออำนาจรัฐหรือเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วทำงานตามบทบาทหน้าที่นักการเมืองคนใดมาก็อยากใช้ทหารทั้งนั้น เพราะเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพ มีวินัย โดยเฉพาะผู้ใต้บังคับบัญชาของตนทั้ง 2 แสนคน ในขณะนี้ที่ไม่มีใครคิดนอกกรอบอะไร ซึ่งก็คงมีคนชอบเหลืองและแดง แต่ได้บอกไปว่าไม่มีสิทธิไปชอบใคร เพราะเป็นทหารของชาติ ซึ่งน่าชื่นชมทุกคนที่มีความร่วมมือกันเป็นอย่างดี เพราะได้ทำให้กองทัพมีความหมาย แต่ถ้ากองทัพแตกแยกและมีสีหมด ใครมาก็คงไม่อยากจะใช้


อนุพงษ์



          ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวย้อนไปถึงเหตุการณ์ในช่วงที่กลุ่มคนเสื้อแดงกับผู้ชุมนุมเสื้อเหลืองยกพวกตะลุมบอนกัน ในสมัยรัฐบาลสมัครว่า คืนนั้นตนนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้เด็ดขาด ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้สั่งทหาร 3 กองร้อยเพื่อไม่ให้ตีกันก่อน เนื่องจากกำลังตำรวจไม่เพียงพอ พอตอนตี 5 นายสมัครสั่งให้ตนไปแก้ไขปัญหาที่ทำเนียบรัฐบาล จึงบอกไปว่าไม่สามารถทำได้ เพราะมีคำขู่จากผู้ชุมนุมว่าหากมีการใช้กำลังจะมีการปิดน้ำ ปิดไฟ และปิดสนามบิน ซึ่งประเทศจะเสียหายมาก อีกทั้งทหารก็มีเครื่องมือน้อยกว่าตำรวจ หากต้องใช้กำลังจำนวนมากจะต้องมีคนบาดเจ็บ ล้มตายมากจนยากที่จะทำความเข้าใจเหมือนที่ตำรวจโดนอยู่ตอนนี้ที่กำลังมีการสอบสวน ที่มีโทษวินัย อาญายังไม่จบ

          เมื่อถามว่า การเอาทหารออกมาในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาก็กระทบกับภาพพจน์มาก พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า จุดที่สังคมและต่างชาติเห็นว่าผู้ชุมนุมเริ่มทำไม่ถูก คือการบุกเข้าทำลายการประชุมสุดยอดผู้นำเอาเซียน โดยจากการประชุมกับต่างชาติที่มาร่วมประชุม รู้เลยว่าผลที่ตามมาคืออะไร ซึ่งเราตอบคำถามต่างชาตินับ 10 ประเทศไม่ได้ยังถามถึงบรรทัดฐานของเราไม่ว่าจะการรักษาความปลอดภัย แผนการใช้เครื่องมือหรืออาวุธ และการปฏิบัติตามมาตรฐาน ที่สำคัญคือการปิดถนนใน กทม. ซึ่งสร้างผลกระทบมากมาย ทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศชาติ ที่ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ ซึ่งก็ต้องแก้ไขปัญหา แล้วทหารก็มีเครื่องมือน้อย ไม่กี่กองร้อยเท่านั้น เราจึงต้องใช้เครื่องมือคือกระสุนแบ๊งค์ แม้จะไม่อยู่ในมาตรฐานมากนัก แต่ไม่มีวิธีอื่นๆ ไม่อย่างนั้นก็ต้องจบด้วยการทำอะไรไม่ได้ แล้วถ้ายังปิดถนนกันจนถึงวันนี้ประเทศชาติจะต้องเสียหายมากมาย แล้วทหารก็ต้องโดนอยู่แล้ว 

          "ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็เสนอให้รัฐบาลซื้อเครื่องมือมาให้เพื่อเตรียมพร้อมเอาไว้ในอนาคต แล้วเอากำลังทหารของเรามาฝึกฝนเอาไว้ และหากตำรวจทำงานได้รัฐบาลก็คงใช้ และคงต้องไปถามรัฐบาลว่าทำไมใช้ทหาร แต่ผมคิดว่าสถานการณ์ที่ผ่านมาไม่ปกติ เพราะขณะนั้นมีการปิดสถานที่ต่างๆ ซึ่งรัฐบาลบอกว่าทำไม่ได้มันผิดกฎหมาย" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

          เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรับมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร คือตนก็ทำงานไป และไม่ได้ไปทานข้าว ไม่ได้เจอ และไม่ได้โทรคุยกัน ซึ่งมีครั้งเดียวที่เคยโทรคุยกันตอนตั้งรัฐบาลเพื่อให้ข้อคิดเรื่องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ครั้งเดียวที่เคยคุยกัน ครั้งอื่นไม่มี ส่วนจะฝากอะไรถึง พ.ต.ท. ทักษิณ หรือไม่นั้น ตนก็คงไม่มีอะไร เพราะจะเป็นประเด็น แต่ตนคิดเหมือนประชาชนทุกคน ประชาชนคิดอย่างไรตนก็คิดอย่างนั้น อยากให้ประเทศชาติเรียบร้อย

          "สิ่งที่ผ่านมามันค้านกับที่ทุกคนคิด ที่ตนมาก็ทำงานไปตามบทบาทภารกิจ ตอนนั้นหากรักตัวกลัวตายนายสมัครสั่งอะไรก็ต้องทำ แต่ตนได้อธิบายไปว่าทำไม่ได้ ทุกคนวิพากษ์มาทั้งหมดว่าตนเดินตามนายสมัครเพราะกลัวเสียตำแหน่ง แต่ตอนนั้นได้อธิบายไปว่าไม่ทำ ซึ่งถ้าจะปลดจะย้ายตนก็มีอำนาจทำได้ แต่นายสมัครก็ไม่ได้คิดจะทำอะไร ซึ่งก็ฟังว่าเรามีเหตุผลอะไรแล้วตนจะกลัวเสียตำแหน่งอะไร ซึ่งตนไม่เลือกทางด้านใดเลยทำให้ต้องโดนด่าสามฝ่าย หนึ่งเสื้อสีหนึ่ง อีกหนึ่งเสื้อสีหนึ่ง อีกหนึ่งคือสื่อมวลชน" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
   



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อนุพงษ์ ลั่นไม่เป็นศัตรูประชาชน ยันเข้าได้กับทุกรัฐบาล อัปเดตล่าสุด 9 พฤษภาคม 2552 เวลา 16:38:05 8,478 อ่าน
TOP