x close

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell (มงคลเมเจอร์)

กำหนดฉาย : 4 มิถุนายน 2552
แนว : สยองขวัญ
นำแสดง : อลิสัน โลห์แมน, จัสติน ลอง, เจสซิก้า ลูคัส
กำกับ : แซม ไรมี่
บท : แซม ไรมี่,ไอแวน ไรมี่
อำนวยการสร้าง : แกรนต์ เคอร์ติส

เรื่องย่อ

          คริสติน บราวน์ (อลิสัน โลห์แมน) คือพนักงานปล่อยกู้ ที่อยากก้าวหน้าเหมือนกับทุกคน เธอใช้ชีวิตอย่างราบรื่นมาโดยตลอด กระทั่งได้มาพบกับ มิส กานุส (ลอร์น่า เวเวอร์) หญิงชราท่าทางแปลกๆคนหนึ่ง ที่เข้ามาทำเรื่องเพื่อขอต่อสัญญาเงินกู้บ้านของเธอ คำถามที่อยู่ในใจของ คริสติน ก็คือ เธอจะทำตามสัญชาตญาณของตัวเอง ซึ่งก็คือช่วยเหลือหญิงชราที่น่าสงสารคนนี้ หรือว่าเธอจะปฏิเสธการต่อสัญญา เพื่อที่จะทำให้ แจ็ค (เดวิด เพย์เมอร์) เจ้านายของเธอประทับใจ และเลื่อนตำแหน่งให้กับเธอ ในที่สุด คริสติน ก็ตัดสินใจเลือกทำตามข้อหลัง ซึ่งทำให้ มิส กานุช ต้องย้ายออกจากบ้านทันที

          คิดผิด! เพราะหญิงชราผู้นี้คือแม่มด โดยเธอได้ทำการเสก "คำสาปของลาเมีย" เข้าไปในตัวของ คริสติน โดยเธอต้องใช้ชีวิตเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น ก่อนที่จะถูกลากลงสู่นรกภายใน 3 วันนับจากนี้ คริสติน ถูกวิญญาณอาฆาตตามหลอกหลอน และยังถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่องสภาพจิตใจของตัวเองโดย เคลย์ (จัสติน ลอง) แฟนหนุ่มผู้มีฐานะของเธอ 

          คริสติน ตัดสินใจออกไปหาร่างทรง แรมจาส (ดิลิฟ เรา) เพื่อช่วยถอนคำสาปให้กับเธอ และช่วยให้ชีวิตที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นของ คริสติน กลับคืนสู่ความปกติ แต่ในขณะที่พวกเขาเริ่มทำพิธีกรรมถอนคำสาป พลังงานแห่งความชั่วร้ายก็เริ่มทะลักเข้ามายังโลกมนุษย์ และ คริสติน เองก็ต้องเผชิญหน้ากับคำถามครั้งสำคัญว่า เธอต้องไปไกลแค่ไหน สำหรับการทำลายคำสาปนี้ให้สิ้นซาก

เกร็ดน่ารู้

          • ถึงแม้ผู้กำกับ แซม ไรมี่ มีผลงานภาพยนตร์ที่ทุกคนคงรู้จักกันดีอย่างเช่น Spider-Man ทั้ง 3 ภาค แต่ผลงานแจ้งเกิดของเขาก็คือ Evil Dead 1, 2 และ 3 หนังสยองขวัญที่ฉีกกฎของหนังสยองขวัญทั่วไปลงจนหมดสิ้น ซึ่งมันยังกลายเป็นหนังขวัญใจคอหนังคัลท์ทั่วโลก โดย Drag Me to Hell นี้ถือว่าเป็นการกลับมาสู่รากเหง้าครั้งแรกในรอบ 10 ปี ของตัวเอง

          • Drag Me to Hell ขนทีมงานสร้างชุดเดิมจาก Spider-Man ทั้ง 3 ภาค มาร่วมกันสร้างปรากฏการณ์สยองเหนือธรรมชาติ ซึ่งไฮไลท์สำคัญก็คือฉากประตูสู่นรก ที่กำลังจะระเบิดออกมากลางพิธีกรรมเข้าทรง

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell




5 เหตุผลที่คุณควรยอมให้ แซม ไรมี่ ลากคุณลงนรก

1. ต้นฉบับแห่งความสยอง

          มีหนังสยองขวัญมากมายในปัจจุบัน ที่อาศัยแต่เสียงเอฟเฟ็คดังๆเพื่อสร้างความตกใจให้กับคนดู ถึงแม้ Drag Me to Hell มีสิ่งนี้อยู่เช่นกัน แต่ความแตกต่างมันก็อยู่ตรงที่วิธีการนำมาใช้ ทั้งจากฉากเปิดในช่วงยุคทศวรรษที่ 60 ที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจถึงความหมายของการถูกลากลงนรกจริงๆ และยังเป็นการแนะนำปีศาจร้ายที่จะอยู่ในใจของเราจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของเรื่อง แซม ไรมี่ แสดงให้เห็นว่า เขาไม่เคยสูญเสียสัญชาตญาณของผู้กำกับหนังสยองขวัญ ทั้งในเรื่องของจังหวะการช็อคคนดูและการจัดองค์ประกอบในภาพ ถึงแม้ว่าคุณอาจจะไม่รู้สึกอะไรมากนักในช่วง 30 นาทีแรก แต่คุณก็จะรู้สึกได้อย่างแน่นอน เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างระเบิดออกมาในช่วงองค์สุดท้ายของเรื่อง

2. Evil Dead 4

          แน่นอนที่มันไม่ใช่ภาคต่อของหนังไตรภาคชุดนั้นของ แซม ไรมี่ แต่ก็ดูเหมือนว่าวิญญาณของ Evil Dead จะตามมาเข้าสิงในภาพยนตร์เรื่อง Drag Me to Hell ทั้งจากเรื่องเทคนิคการถ่ายทำและซาวด์เอฟเฟ็ค ที่ใกล้เคียงกันอย่างน่าประหลาด รวมถึงการเลือกโทนหนังที่ทั้งมีความน่ากลัวผสมผสานกับตลกร้าย รวมถึงหลายต่อหลายฉากที่ถูกสร้างเพื่อบูชา Evil Dead เช่นฉากเหนือจินตนาการระหว่างการทำพิธีกรรมเข้าทรง ซึ่งน่าจะทำให้แฟนเดนตายของ แซม ต้องรู้สึกพอใจกันอย่างถ้วนหน้า

3. อลิสัน โลห์แมน

          ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นนักแสดงที่มาแทน เอเลน เพจ (จาก Juno) ในวินาทีสุดท้าย แต่ อลิสัน โลห์แมน ก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า เธอเป็นยิ่งกว่าตัวสำรองที่มาสวมบทบาทนี้ ถึงแม้ว่า จัสติน ลอง จะแสดงได้อย่างสมบทบาท ในบทแฟนหนุ่มผู้ซึ่งสงสัยในสตินางเอก แต่นี้ก็คือรายการโชว์ของ อลิสัน อย่างแท้จริง ซึ่งก็เหมือนกับพระเอกในหนังไตรภาคทั้งสองชุดอย่าง บรูซ แคมป์เบลล์ และ โทบี้ แม็คไกวร์ เพราะ อลิสัน เองก็ต้องถูกทรมานทั้งต้นเรื่องจนจบ เธอทั้งถูกทุบตีจนเจ็บช้ำ, เหวี่ยงไปทั่วทั้งห้องโดยพลังงานลึกลับ, สู้กับหญิงชราอย่างบ้าคลั่งในรถ และต้องทนทุกข์ทรมานกับเลือดกำเดาที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ แต่อย่างไรก็ตาม อลิสัน ก็สามารถแสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวัง และทำให้เรารู้สึกสงสารเธอได้ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งๆที่เธอถูกบีบบังคับให้กระทำอะไรบางอย่างที่... ไม่น่าสงสารเอาเสียเลย

4. เอฟเฟ็คเหนือจินตนาการ

          Drag Me to Hell ถูกสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ ในการเล่าเรื่องราวสยองขวัญเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น ก็คือการได้ทีมงานสร้างเอฟเฟ็ค ที่ขนมาจากแฟรนไชส์หนังสุดยิ่งใหญ่อย่าง Spider-Man ทั้งสามภาค ซึ่งเมื่อหนังเดินทางมาถึงจุดไคลแม็กซ์ ไรมี่ และทีมงานก็เหมือนของขึ้น และได้ทำการปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในหัวสมองออกมา เขาแนะนำให้เรารู้จักกับนรกในจินตนาการของทีมสร้าง และทำให้ Drag Me to Hell กลายเป็นประสบการณ์ที่มิรู้ลืมของใครหลายๆ คน

5. ฉากจบ

          เราคงไม่สามารถพูดอะไรได้มากนักเกี่ยวกับหัวข้อนี้ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องที่ดีกว่าถ้าคุณจะได้รู้มันเป็นครั้งแรกในโรงภาพยนตร์ Drag me to Hell ไม่ใช่ภาพยนตร์สยองขวัญที่ทำให้คุณฝันร้าย หรือทำให้คุณประสาทหลอนระหว่างเดินทางกลับบ้าน แต่มันเป็นหนังที่มีความสยองสุดขีด แต่ยังสามารถสนุกไปกับมันได้ในเวลาเดียวกัน และหลังจาก แซม ไปรับหน้าที่สร้างแฟรนไชส์สเกลใหญ่ยักษ์อย่าง Spider-Man มาแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่เราได้เห็นเขากลับมามีความสุขกับแนวหนังที่ตัวเองรักอีกครั้งหนึ่ง



Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell

Drag Me to Hell





ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
Drag Me to Hell อัปเดตล่าสุด 4 มิถุนายน 2552 เวลา 09:15:25 33,020 อ่าน
TOP