x close

บิ๊กจิ๋ว แนะทลายสี เสื้อเหลือง-แดง



"บิ๊กจิ๋ว"แนะทลายสีเสื้อเหลือง-แดง (มติชนออนไลน์)

          "บิ๊กจิ๋ว" ชี้ปัญหาขัดแย้งมาจากปกครองไม่เป็นธรรม แบ่งสีเหลืองสีแดง แนะตั้งรบ.เฉพาะกาลทลายเสื้อสี เผยจม.บีอาร์เอ็นทวงถามแก้ปัญหาแดนใต้ถึง "มาร์ค" 

          พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "จับชีพจรประเทศไทย..สู่การผ่าตัดใหญ่การเมืองไทย" ในงาน "60 ปีสยามรัฐ" ว่า ปัญหาของชาติในขณะนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงมาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีหนทางแก้ไขตลอด เพียงแต่คิดให้ถูกว่าการแก้ปัญหาควรเป็นอย่างไร บางครั้งแก้ไขปัญหาโดยรู้ว่ามาผิดวิธี ก็เลยยังแก้ไม่ได้ ทำให้ปัญหาบ้านเมืองเรามีตลอด คือมีความขัดแย้งในสังคมที่ออกมารูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นมานานกว่า 77 ปี

          แต่ปี พ.ศ. 2475 ที่คณะราษฎร์ยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงอย่างอุกฤต โดยในหลวงรัชกาลที่ 7 ต้องการเอาอำนาจพระองค์ท่านมาให้ประชาชน คือพยายามเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ท่ามกลางภาวะที่พระองค์ท่านต้องต่อสู้หลายเรื่องกับลัทธิล่าอาณานิคม ปัญหาภายในประเทศ ทำให้เปลี่ยนแปลงยังไม่ได้  แต่พวกเรากลับใจร้อนไปยึดอำนาจ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ก่อน ดังนั้น จะเห็นความต้องการเปลี่ยนแปลงปกครองมาแต่ปี พ.ศ. 2475 เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงให้การสนับสนุนเต็มกำลัง พระองค์ท่านทรงบันทึกไว้ในพระราชหัตถเลขาชัดเจนให้มอบอำนาจให้ประชาชน อย่ามอบให้ผู้อื่น นี่คือสิ่งที่พระองค์ต้องการแต่กลับไม่เกิดขึ้น กระทั่งเวลาต่อมาได้เกิดกบฏรัฐประหาร ประชาชนออกเดินขบวน จับปืนต่อสู้สงครามกลางเมือง เป็นต้น

          "วันนี้ความขัดแย้งสังคมแบ่งเป็นสีแดงและสีเหลือง ความขัดแย้งเกิดจากปกครองไม่เป็นธรรม การปกครองเป็นธรรมคือปกครองโดยพี่น้องประชาชนที่ปกครองโดยมาจากประชาชน  ทำให้ความขัดแย้งที่เกิดจากความไม่เป็นธรรม นี่คือสาเหตุให้ขัดแย้งทุกวันนี้  เมื่อทุกคนรู้ไม่เป็นประชาธิปไตยก็ทำให้เป็นประชาธิปไตย"

          พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า องค์กรในการแก้ไขวิกฤตความขัดแย้งมีอยู่ 3 องค์กร ไม่ต้องหามากคือ 

          1. สถาบันพระมหากษัตริย์ 

          2. กองทัพ ที่เคยออกมาเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549  แต่ออกมาแล้วไม่ทำอะไรกลับให้รัฐบาลรักษาการณ์เพื่อรอให้มีรัฐบาลเข้ามาเท่านั้น อีกทั้ง ตนเคยเรียนต่อผู้หลักผู้ใหญ่มาครั้งหนึ่งแล้วว่า ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเพียง 90 วัน แล้วคืนอำนาจให้ประชาชน แต่ไม่เป็นไรผ่านไปแล้วยึดใหม่อีกก็ได้ 

          3. รัฐบาล เมื่อสังคมขัดแย้ง รัฐบาลต้องรีบแก้ไขปัญหาไม่เช่นนั้นประชาชนจะลุกออกมาแก้ไขเองแล้วจะยุ่งทำให้เกิดความรุนแรงได้ เพราะรัฐบาลมีอำนาจที่สามารถแก้ไขได้ โดยต้องแสดงออกมาให้คนเห็นแล้วแก้ความขัดแย้งได้ โดยเฉพาะการตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล ซึ่งอย่าไปฟังนักรัฐศาสตร์มาก โดยให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ปรับครม.ใหม่ ให้ทุกสีทั้งแดง, เหลือง ,น้ำเงิน เป็นต้น ส่งคนดีมาให้หมด แม้รัฐบาลจะตั้งได้เพียง 36 คน แต่ขอให้ยกเว้นตั้งมา 90 คนก็ได้ โดยไม่ต้องมาเป็นคณะรัฐมนตรี แต่มาเป็นคณะกรรมการขับเคลื่อนเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา ให้เวลาเพียง 1-2 ปี ก็สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้  ตนเชื่อว่านายกฯ เป็นคนดีถ้าเชื่อตน พรุ่งนี้ปรับครม.ได้เลย

          นอกจากนี้ พล.อ.ชวลิต ยังกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ วันนี้น้องๆ ทหารบอกว่าการเมืองนำการทหารถึงจะถูก แล้วการเมืองคืออะไร  และการดำเนินการเมืองต้องเป็นการเมือง แต่ต้องแบ่งแยกไปชัด ซึ่งตนได้เสนอแต่ปี พ.ศ. 2547 ความจริงจะเกิดแต่ ปี พ.ศ. 2544 เพราะเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ได้มีการประชุมครม. ที่จ.นราธิวาส มีนายตำรวจรายงานนายกรัฐมนตรีขณะนั้นว่าทนไม่ไหวแล้วที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกทหารสกัดกั้นการติดตามผู้ต้องสงสัยกำลังไล่ติดตามผู้ก่อการร้ายปักษ์ใต้ นายกฯ ก็สั่งเปลี่ยนตำรวจคนนั้น ซึ่งตนเชื่อว่าชาวไทยมุสลิมอยู่ในไทยมานานแล้วไม่คิดที่แบ่งแยกดินแดน เพราะคนที่ต้องการแยกดินแดนมีเพียงกลุ่มคนที่มีอำนาจเหนือปัตตานี คือกลุ่มพูโลเท่านั้น และชาวไทยมุสลิมก็ต้องการความเป็นธรรม

        
  ทั้งนี้ พล.อ.ชวลิต ได้หยิบจดหมายฉบับหนึ่งและกล่าวว่า ตนขออ่านจดหมายของกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นที่ทวงถามถึงนายอภิสิทธิ์ ภายหลังนายอภิสิทธิ์เยือนประเทศมาเลเซีย และพบปะนายกฯ มาเลเซียว ซึ่งเป็นเรื่องเก่า แต่ได้ทวงถามถึงนายอภิสิทธิ์ในการแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า มีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว เพราะจากการประเมินสถานการณ์ของกลุ่มความไม่สงบในพื้นที่ขณะนี้ยังเห็นว่า สถานการณ์ยังห่างไกลความสงบและสันติสุข คือ 

          1. ยังมีการสร้างสถานการณ์โดยผู้มีอำนาจทำให้สถานการณ์รุนแรงอยู่ 

          2. รัฐบาลสามารถควบคุมทหารได้จริงหรือไม่ ซึ่งเท่าที่เห็น ทหารไม่ได้ห่วงในเรื่องความไม่สงบในพื้นที่ แต่ห่วงเรื่องผลประโยชน์มากกว่า คือ ไม่อยากให้เกิดสันติภาพอย่างแท้จริง รัฐบาลอาจจะดำเนินการในลักษณะการเมืองนำการทหาร แต่กองทัพปฏิเสธมาตลอด 

          
3. รัฐบาลพูดเสมอว่า จะทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในพื้นที่ให้ได้ แต่ความจริงไม่เป็นอย่างที่พูด เพราะยังมีผู้ถูกคุมขังจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือ นายซามะแอ ท่าน้ำ ที่ถูกกุมขังมานานกว่า 20 ปีแล้วและไม่มีทีท่าปล่อยตัวแต่อย่างใด   

          4. การเลิกการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลกับกระบวนการก่อความไม่สงบในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีส่วนทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น 

          5. การใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น ห่างไกลสันติภาพมากขึ้น และถ้ารัฐบาลไทยโดยการนำของนายอภิสิทธิ์ มีความตั้งใจจริงที่จะทำงานให้เกิดสันติภาพนั้น ทางกลุ่มขอถามว่า จะให้ความยุติธรรมแก่ชาวมลายูอย่างไร จะนิรโทษกรรมแก่ผู้หลงผิดอย่างไร และการใช้กฎหมายท้องถิ่นเฉพาะ และสิ่งสำคัญที่สุดในเนื้อหาจดหมายระบุว่า ขอแสวงหาสันติสุข และสันติภาพ ไม่ใช่ต้องการแบ่งแยกดินแดน และทางกลุ่มต้องการปกครองตัวเองภายใต้พระบรมโพธิสมภารและภายใต้กฎหมายไทย โดยไม่แบ่งแยกศาสนา




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
บิ๊กจิ๋ว แนะทลายสี เสื้อเหลือง-แดง อัปเดตล่าสุด 26 มิถุนายน 2552 เวลา 16:24:09 5,260 อ่าน
TOP