x close

เปิดชีวิต พี่อู๊ด เป็นต่อ






ชีวิตจริงยิ่งกว่า"ปิงปอง" ธีรชาติ ธีราวิทยางกูร (มติชน)

          ความคิดก็แวบขึ้นมาเหมือนกัน ว่าเมื่อเป็นคนดีไม่ได้ เป็นโจรซะเลยจะดีกว่า

          ใครก็ไม่รู้เคยบอกว่าชีวิตมีขึ้นมีลง แต่สำหรับ "ธีรชาติ ธีราวิทยางกูร" เขาเองก็ยังงงๆ อยู่ ด้วยไม่นึกว่าชีวิตจะขึ้นมาถึงตรงนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าต้องเรียกว่าเรี่ยติดดิน

          ธีรชาติ ธีราวิทยางกูร เป็นใคร?

          หลายคนคงนึกไม่ออก

          แต่ถ้าบอกว่าเป็นคนเดียวกับ "พี่อู๊ด เป็นต่อ" คงร้องอ๋อกันทั้งเมือง

          ธีรชาติที่มีชื่อเล่นว่า "อู๊ด" เช่นกันในชีวิตจริง เขาเล่าชีวิตของตัวเองให้ฟังว่า กว่าจะมีวันนี้เขาผ่านชีวิตโลดโผนมาหมดแล้ว ตั้งแต่เป็นนักดนตรี ช่างซ่อมนาฬิกา คนขายน้ำอัดลมตามโรงเรียน เด็กเก็บเสื้อผ้าในคณะตลก และเคยเกือบๆ จะเป็นโจร

          "ชีวิตผมน่ะสร้างหนังได้ 3 เรื่องเลยหละ" เจ้าตัวบอกพลางยิ้มแป้น

          ชีวิตผมเหมือนลูกปิงปองที่เด้งไปเด้งมาอยู่ตลอดเวลา-นี่เจ้าตัวบอก
         
          เริ่มจากตอนเด็กที่ไม่มีโอกาสได้อยู่กับพ่อกับแม่ คือต้องไปอาศัยอยู่กับลุงและป้า จากนั้นก็ต้องย้ายโรงเรียนเป็นว่าเล่น โดยบางครั้งเหตุผลที่ย้ายก็แค่ติดตามญาติที่เป็นครูจากอุบลราชธานี เขาจึงถูกเด้งไปเป็นนักเรียนที่อุดรฯ กาฬสินธุ์ และอื่นๆ พอโตขึ้น แม้ที่บ้านจะมีกิจการซ่อมนาฬิกาใน จ.อุบลราชธานี แต่เขาก็ไม่สนใจ ขอไล่ตามความฝันด้วยการเป็นนักดนตรี ทำงานกับวงดนตรีเพื่อชีวิตชื่อดังอย่างกระท้อน และซูซู รวมถึงออกมาฟอร์มวงเอง ซึ่งพอวงแตกครั้งใด เขาก็จะกลับไปตั้งหลักที่บ้าน ยึดอาชีพเป็นช่างซ่อมนาฬิกาสักพัก ก่อนจะแอบหนีกลับไปฟอร์มวงดนตรีขึ้นใหม่ แล้วก็แตกอีก เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...





          "ตอนนั้นเวลากลับบ้านผมจะเดินลัดทุ่งนา ไม่ยอมเดินผ่านหมู่บ้าน อายเขา คนอื่นเขากลับบ้าน เขาจะขับกระบะกัน แต่ผมกลัวคนถามว่าทำอาชีพอะไร ถ้าบอกเล่นดนตรี ก็กลัวเขาจะว่าอะไรวะ กลัวแม่จะอายด้วย"

          กระทั่งครั้งสุดท้ายที่เปลี่ยนไป เพราะถึงวงจะแตก แต่ก็ไม่อยากกลับบ้าน ทำให้แม่โมโหถึงขนาดประกาศจะตัดแม่ตัดลูก ถึงขนาดนั้นแล้วเขาก็ยังไม่กลับ

          ถ้าจะถามว่าช่วงนั้นเป็นยังไง อู๊ดยิ้มแหยๆ ก่อนจะว่า "ชีวิตบัดซบเลยหละครับพี่น้อง" ต้องไปอาศัยบ้านเพื่อนในกรุงเทพฯ ซุกหัวนอน เพราะไม่มีงานไม่มีเงิน

          "แต่ก็ยังลำบากนะ เพราะเพื่อนมีแฟนแล้ว บางทีเขากลับช้า เราก็ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน บางทีเขาทะเลาะกับแฟน ก็จะยื่นเงินให้ผม 100 บ้าง 200 บ้าง แล้วให้ผมไปอยู่กับอีกคน"

          กับเพื่อนที่ดี อู๊ดว่าเขารู้สึกเกรงใจอย่างยิ่ง แต่ขณะเดียวกันก็ประจักษ์ว่าเพื่อนที่ไม่ต้อนรับเราก็มีเหมือนกัน

          "บอกเดี๋ยวพี่กูมา เดี๋ยวนั่นเดี๋ยวนี่มา กินข้าวอะไรก็ไม่ถามนะ ผมนั่งอยู่ก็เดินผ่านไปเหมือนผมเป็นอากาศธาตุ"

          พอทนไม่ไหวเขาก็ตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อนคนนั้น เพื่อไปอาศัยบ้านของอีกคน จนใจที่มีสตางค์ติดตัวแค่ 50 บาท ไม่สามารถไปถึงได้ สุดท้ายเลยอาศัยป้ายรถเมล์เป็นที่นอน

          "ตอนนี้ความคิดก็แวบขึ้นมาเหมือนกัน ว่าเมื่อเป็นคนดีไม่ได้ เป็นโจรซะเลยจะดีกว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป"

          โชคยังดีที่ระหว่างตัดสินใจว่าควรจะเริ่มอาชีพด้วยการวิ่งราวกระเป๋า หรือกระชากสร้อย เพื่อนชื่อ "อู๊ด" อีกคนซึ่งนั่งรถเมล์ผ่านมามองเห็นเขาเข้าพอดี จึงรีบลงจากรถมาหา

          "เป็นอันว่าที่คิดจะทำชั่วก็ไม่ได้ทำ" ท่าทางคนเล่าเหมือนจะโล่งหัวอก

          เพื่อนอู๊ดชวนอู๊ดไปขายน้ำอัดลมตามโรงเรียน ได้เงินค่าขายวันละ 100-200 บาท ซึ่งก็พอไหว ทำไปสักพักเพื่อนก็โทร.ไปหา "พี่ป้อม สุรินทร์" ให้

          ป้อม สุรินทร์ เป็นเพื่อนนักดนตรีรุ่นพี่ที่สนิทกันของเขา เป็นคนที่ให้โอกาสเขาเล่นดนตรี เป็นคนที่เขายกให้เป็น "ผู้ปิดทองหลังพระตัวจริง" เพราะช่วยเหลือเขามาตลอด ป้อมคนนี้แหละที่ฝากเขาเข้าคณะตลกของ "เหลือเฟือ มกจ๊ก" ไปเป็นเด็กเก็บเสื้อผ้า ทำหน้าที่ทั้งซักทั้งรีดเสื้อ รวมถึงจัดเก็บข้าวของต่างๆ ในวง

          "ผมอยู่มานานถึงได้คุยกับพี่เหลือว่าผมเป็นนักดนตรีมาก่อน แกก็เฉยๆ แต่พอนักดนตรีขาดก็ให้ผมเล่นแทน เสร็จแล้วก็ลงมาเก็บชุดอย่างเดิม จนตัวคนเล่นตลกขาด แกก็มาถามว่าเล่นอะไรได้บ้าง ผมก็บอกว่าเล่นดนตรีได้หลายอย่าง แกถามว่าชอบแนวไหน ผมบอกชอบพี่แอ๊ด คาราบาว (ยืนยง โอภากุล) พี่เหลือเลยนัดมุขให้"

          แล้วก็กลายเป็นมุขเด็ดที่ทำให้เขาเป็น "อู๊ด เป็นต่อ" อย่างในปัจจุบัน





          "พี่น้องครับ 6 ตุลาฯ จำได้ไหมครับ ทำไมทำกับประชาชนแบบนี้ ที่สี่แยกคอกวัว (ถึงตอนนี้คนดูก็เริ่มจับประเด็นว่าน่าจะเป็นเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 19) เมื่อเวลาบ่าย 4 โมงกว่าๆ จำได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น? (ทหารยิงคนหรือครับ? มีคนถาม) ห้าศูนย์ศูนย์ครับ ที่กองสลากฯ มันออกมาได้ยังไงแบบนี้"

          ก็มุขนี้แหละที่เข้าตา "จิรศักดิ์ โย้จิ้ว" ผู้กำกับฯ "เป็นต่อ" ซึ่งขณะนั้นกำลังพัฒนาโปรเจ็คต์ซิทคอมเรื่องนี้อยู่

          "แกเห็นตอนผมไปเล่นใน ตี 10 ก็เลยตามไปดูที่พระราม 9 คาเฟ่ แล้วก็ให้ทีมงานติดต่อไป แต่ก็ทิ้งช่วงไปนาน"

          "ตอนนั้นผมกลับบ้านเพราะอิ่มตัว กลับไปซ่อมนาฬิกา แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับบ้านไปตั้ง 3 เดือน พอจะขนของย้ายไปอยู่ร้อยเอ็ด นามบัตรพี่เหลือหล่นเป๊ะ คิดถึงเลยโทร.หา จะวางสายอยู่แล้วผมก็ถาม พี่อยู่ไหน มหาสารคาม อ้าว!ใกล้ๆ เลยไปหา ไปช่วยแกเล่นตลก แกก็ว่ามีที่ขอนแก่นอีก ไปช่วยกันหน่อย ผมก็โทร.บอกแม่ แล้วหักซิมโทรศัพท์ตัวเองทิ้งเลย เล่นได้ไม่ถึงเดือน ทีมงานเป็นต่อก็โทร.มา ถ้าผมไม่ได้กลับมา เขาคงหาตัวผมไม่เจอแล้วละ"

          ถ้าให้ย้อนกลับไปมองชีวิตในตอนนั้น ธีรชาติบอกว่านึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะกลายเป็นชีวิตตอนนี้ได้ยังไง

          "ผมน่าจะตายไปแล้ว ไม่น่าจะจบสวยแบบนี้นะ" เขาบอกยิ้มๆ

          "เพราะเคยทั้งนอนป้ายรถเมล์ เคยไม่มีอะไรกิน คิดอย่างเดียวว่า เอายังไงดีกับชีวิต งานที่บ้านก็มีอยู่แล้วทำไมมาทำแบบนี้ จากช่างนาฬิกายอดฝีมือ ทำงานห้องแอร์เย็นๆ กลับต้องมานอนป้ายรถเมล์ มีเงิน 50 บาท กูมาทำอะไรวะเนี่ย"

          ไม่ต้องถามว่าถ้าให้เลือกอีกครั้งเขาจะใช้ชีวิตแบบนี้อีกไหม เพราะอู๊ดบอกตรงๆว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้าถามว่าอะไรทำให้เขารอดผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้ ธีรชาตินิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างจริงจังว่า

          "ผมว่าเป็นคนคิดดีนะ ผมไม่เอาเปรียบคน จะให้ใจคนอื่นล้วนๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ถ้าคบคือคบ ถ้าไม่คบคือไม่คบเลย"

          อีกเรื่องคือ แม้เขาจะอยู่ในจุดที่มีปัญหาเสมอๆ แต่ก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และไม่เคยทำอะไรเลยร้าย จะมีก็แค่ในความคิดครั้งนั้นครั้งเดียวที่ป้ายรถเมล์

          เขายังว่าถึงตอนนี้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปเยอะ แต่นิสัยเขายังไม่เปลี่ยนแปลง

          อ้อ...อาจจะมีเปลี่ยนอยู่อย่างหนึ่ง

          "ทุกวันนี้ผมกลับบ้านก็ไม่ลัดนาอีกแล้ว" บอกพลางหัวเราะอย่างมีความสุข


images  คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
- หนังสือพิมพ์มติชน
- pleng.com


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดชีวิต พี่อู๊ด เป็นต่อ อัปเดตล่าสุด 2 กรกฎาคม 2552 เวลา 16:05:21 42,185 อ่าน
TOP