เขาพระวิหาร
เขาพระวิหาร
จับตาสภาถกพิพาท ไทย เขมร 28 ส.ค. พธม.จี้ปกป้องอธิปไตย (กรุงเทพธุรกิจ)
เมื่อเวลา 12.30 น. ที่บ้านพระอาทิตย์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) กล่าวถึงกรณีกัมพูชารุกล้ำพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งวันศุกร์นี้จะมีการนำเรื่องกรอบการเจรจาระหว่างไทยกัมพูชาเข้าสู่การ ประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการถกเถียงกัน ระหว่างคณะกรรมการร่วมกันระหว่างไทยกัมพูชา กับฝ่ายภาคีเครือข่าย ผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งกระบวนการดังกล่าวมีข้อสงสัย เพราะถือเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม
ทั้งนี้ เนื่องจากพื้นที่ถูกรุกล้ำนั้นมีการตั้งค่ายชุมชน ตั้งค่ายทหาร และขนย้ายประชาชนกัมพูชาเข้าอยู่ในพื้นที่ กระทั่ง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฏว่ากลับยิ่งเหิมเกริมรุกล้ำอธิปไตยในบริเวณดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น มีการขยายชุมชน สิ่งปลูกสร้างเพิ่มมากขึ้น และยังสร้างถนนจนแล้วเสร็จ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยถูกรุกล้ำอธิปไตยอย่างชัดเจน
นายปานเทพ กล่าวว่า ถ้าจะมีการสูญเสียอธิปไตยต้องเป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ถ้ารัฐบาลชุดนี้มองรัฐบาลชุดที่แล้วทำไม่ถูก ควรทำหน้าที่ในการไปหยุดยั้ง ไม่ควรสวมสิทธิ์ในการละเมิดอธิปไตยต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา โดยเฉพาะในวันศุกร์นี้ จะนำเรื่องเข้าสภาฯ เพื่อเจรจาถึงการปักปันเขตแดน ย่อมแสดงว่า ประเทศไทยยังไม่รู้ดินแดนของประเทศอยู่ที่ใด ซึ่งขัดกับหลักการของพรรคประชาธิปัตย์ในตอนเป็นฝ่ายค้าน ที่กล่าว่ายึดหลักสันปันน้ำ ถ้ายึดหลักนี้ ไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการร่วม เพื่อหาเขตแดนไทยอยู่ที่ไหน
"ทำให้มีข้อสงสัยว่า การตั้งคณะกรรมการร่วมไทยกัมพูชาเพื่อเจตนาแท้จริงแล้วจะไม่ใช่เจตนาเพื่อหา ข้อยุติ หรือ ผลักดันผู้ที่รุกล้ำอธิปไตยของไทย แต่เป็นการเจตนาเพื่อต้องการถ่วงเวลาให้นานที่สุด เพื่อไม่ให้ดำเนินการกับผู้รุกล้ำดินแดน" โฆษกพันธมิตรฯ ระบุ
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฯ เห็นว่ารัฐบาลควรแถลงข้อเท็จจริง พร้อมทั้งหลักฐาน ต่อประชาชนว่า มีการรุกกล้ำจริงหรือไม่ ถ้ามีการลุกล้ำอธิปไตยจริง รัฐบาลต้องมีการทวงคืนอธิปไตยกลับคืนมา ให้สมกับที่เคยเป็นพรรคฝ่ายค้าน ที่เคยคัดค้านรัฐบาลชุดก่อน ๆ มิฉะนั้น เกรงว่า ข้อกล่าวหาในอดีตว่ามีรัฐบาลขายชาติ ถ้ารัฐบาลชุดนี้ ไม่มีการแก้ไข และทำให้มีการเสียดินแดน รัฐบาลชุดนี้ เท่ากับสวมสิทธิการขายชาติ
"พันธมิตรไม่เห็นด้วย กับการแก้ไขปัญหาโดยการเจรจา ทั้งที่ยังมีการรุกล้ำอธิปไตยอยู่ในพื้นที่ สิ่งที่เห็นด้วย คือ ต้องผลักดันให้การรุกล้ำอธิปไตยของไทย ออกไปจากดินแดนไทยเสียก่อน แล้วจึงค่อยตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อเจรจาในข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ไม่ใช้สั่งให้ทหารถอยออกจากพื้นที่ สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงคือ รัฐบาลไทยไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจน"
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กล่าวกับประชาชนว่า ประเทศไทยไม่ถูกรุกล้ำดินแดน จึงเป็นสาเหตุให้ประชาชนกลุ่มหนึ่ง ต้องการเดินทางไปตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวในวันศุกร์นี้ เพื่อพิสูจน์ว่า ไม่มีการลุกล้ำจริงตามที่รัฐบาลประกาศ ซึ่งความไม่ชัดเจนของรัฐบาล จะนำไปสู่ความเสี่ยงของประชาชน ที่ต้องการพิสูจน์
อธิบดีกรมศิลปากร แนะจับตาสภาชี้พิพาทไทย-กัมพูชา 28ส.ค.
นายเกรียงไกร สัมปัชลิต อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ตามปกติแล้วหากเป็นเรื่องพิจารณากว้างๆ เป็นกรอบความร่วมมือทั่วไปคงไม่ต้องส่งให้ที่ประชุมรัฐสภา แต่ครั้งนี้เป็นมติบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ซึ่งจะต้องนำเข้าที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 28 ส.ค. แสดงให้เห็นว่าบันทึกดังกล่าวมีความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องดินแดน เงิน งบประมาณที่ต้องให้สองสภาผ่านความเห็นชอบ
ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้น กรมศิลปากรไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร กรมศิลปากรในฐานะหน่วยงานดูแลแหล่งโบราณคดี อาทิ สระตราว สถูปคู่ แหล่งตัดหิน ผามออีแดง มีหน้าที่ศึกษาข้อมูลด้านวิชาการและการอนุรักษ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาข้อพื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชา มีความสำคัญระหว่างสองประเทศ ดังนั้น การประชุมรัฐสภาในวันที่ 28 ส.ค.จึงน่าจับตามองอย่างยิ่ง
ส่วนการบริหารจัดการร่วมระหว่างไทย กัมพูชาบนพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป เพราะปราสาทเขาพระวิหารได้ รับยกย่องเป็นมรดกโลก แต่คณะกรรมการปักปันเขตแดนยังไม่มีข้อสรุปเรื่องปักปันเขตดินแดนไทย กัมพูชา อีกทั้งกลุ่มโบราณคดี อาทิ สระตราว สถูปคู่ แหล่งตัดหิน ผามออีแดง ที่ยังไม่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกพร้อมกับปราสาทเขาพระวิหาร
"ดังนั้น การบริหารจัดการร่วมระหว่างไทย กัมพูชา จึงยังไม่เกิดขึ้น เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมาก หากจะมีการตัดสินใจอะไรลงไป เชื่อว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาถี่ถ้วนแล้ว ทั้งนี้ ในทางการเมืองไทย กัมพูชายังมีเรื่องขอตกลงดินแดนบนพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร ต่างฝ่ายต่างรักษาท่าที แต่ในเชิงวิชาการด้านโบราณคดีนั้นทั้งสองประเทศมีความร่วมมือกันมาโดยตลอด ไม่มีปัญหาต่อกัน ล่าสุดกัมพูชาเชิญไทยร่วมอนุรักษ์แหล่งหินโบราณด้วย" อธิบดีกรมศิลปากร ของไทย ระบุ
ยันข้อตกลงไทย-กัมพูชาเข้าสภาบันทึกประชุมเจบีซี
นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่าวันที่ 28 ส.ค. จะนำบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี) ทั้ง 3 ครั้งเข้าสู่การพิจารณาของสภา โดยครั้งแรก เมื่อเดือน 10-12 พ.ย.2551 ที่เสียมราฐ ครั้งที่ 2 ที่กทม. วันที่ 3-4 ก.พ.2552 และครั้งที่ 3 ที่กรุงพนมเปญ วันที่ 6-7 เม.ย.2552
โดยขอย้ำว่า เป็นเพียงบันทึกการประชุมเจบีซี ซึ่งเป็นการดำเนินการตาม ม.190 ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า ไม่ใช่ข้อกำหนดชั่วคราว( Provisional Arrangement ) ซึ่งอยู่ในระหว่างที่ฝ่ายไทยกำลังเจรจากับฝ่ายกับกัมพูชา ตามกรอบที่สภาได้ให้การอนุมัติไว้
ส่วนที่มีการรายงานว่า แกนนำ 40 ส.ว.ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า ข้อตกลงของคณะกรรมธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภานั้น จะมีการแบ่งพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ใกล้บริเวณปราสาทพระวิหารนั้น นายธานียืนยันว่า ไม่มี พร้อมทั้ง กล่าวว่า ชื่อเรียกของตัวปราสาทพระวิหารซึ่งไทยและกัมพูชาเห็นไม่ตรงกันนั้นก็จะนำ เข้าสู่การพิจารณาของสภาด้วยเช่นกัน เนื่องจากในกรอบการเจรจาระบุให้บัญญัติศัพท์ที่เรียกชื่อดังกล่าว ส่วนผลการพิจารณาของสภาจะนำเข้าสู่การประชุมเจบีซี ครั้งที่ 4 ที่จะกำหนดวันประชุมต่อไป
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขารมว.ต่างประเทศ ตอบข้อถามถึงกรณีที่นางวัลวิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่กล่าวว่า ไทยเปลี่ยนชื่อเรียกพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. บริเวณปราสาทพระวิหาร ว่านางวัลวิภานำข้อมูลเก่าเมื่อปี 2551 มาสร้างความเข้าใจผิด แต่ในความเป็นจริง พื้นที่บริเวณดังกล่าวไม่ได้เปลี่ยนชื่อ เพียงแต่เมื่อก่อน เรียกว่า "พื้นที่บริเวณภูมะเขือและช่องตาเฒ่า" เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อตามความต้องการของฝ่ายกัมพูชา แต่เนื่องจากไม่เป็นที่เห็นพ้องกันทั้งสองฝ่าย ในปัจจุบัน จึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อเรียกว่าเป็นพื้นที่ประชิดปราสาทพระวิหารดังเดิม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
